"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

จะไปพระนิพพานได้หรือไม่ ถ้าไม่รู้จักพระนิพพาน



ไม่รู้จักพระนิพพาน จะไปพระนิพพานได้หรือไม่ ?

ถาม : ถ้าเราไม่รู้จักพระนิพพาน มโนมยิทธิก็ไม่ได้ ศีลสมาธิก็ไม่ค่อยดี เราจะไปนิพพานอย่างไร ?

ตอบ : อีกหลายชาติ ถ้าหากทำในศีล สมาธิ ปัญญาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากสิ่งที่เราทำนั้นดี ทำถูกจริง จะสามารถสัมผัสนิพพานได้เลยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจน เพราะอารมณ์พระนิพพานจะมาสัมผัสกับใจของเราเอง เพราะฉะนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็น สุกขวิปัสสโก ไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย แต่ทำไมมั่นใจนักหนาว่านี่คือพระนิพพาน เราสามารถไปนิพพานได้ เพราะว่าพอทำถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง จะเรียกว่าอุปกิเลสเกิดขึ้นก็ได้ ญาณเครื่องรู้บังเกิดขึ้น อุปกิเลสแต่ว่าใกล้กิเลส ยังไม่ใช่กิเลส จะใช่กิเลสก็ต่อเมื่อเราไปยึด

ถาม : ถ้าเราไหว้พระตอนเช้า ไหว้หลวงพ่อฤๅษี ขอหลวงพ่อว่าเวลาเราตายไป ขอหลวงพ่อเมตตามารับเรา

ตอบ : ขอได้ แต่เหมือนกับว่าคุณขออยู่ฝ่ายเดียว แต่คุณไม่เปิดประตูรับ ท่านจะมารับเราได้อย่างไร ต้องอาศัยกำลังใจของเรามีจุดที่เกาะที่มั่นคง หรือไม่ก็อาศัยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกนี้สภาพนี้ไม่มีอะไรดี แล้วเราต้องการสลัดตัดทิ้งไปเลย เราจึงจะสามารถไปได้ แต่ถ้าเราเอาแต่ขออย่างเดียว ไม่มีการดำเนินวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะไปได้ ก็รอไปอีกนาน

ถาม : บางทีเราฟังธรรมะเราก็พอเข้าใจ แต่พอเกิดขึ้น ก็ดับไป แต่ทำไมอารมณ์ตรงนี้จึง ไม่ติดอยู่ในใจ เรา ?

ตอบ : เพราะนั่น ยังเป็นแค่สัญญา คือ จำได้เท่านั้น ยังไม่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เข็ดกลัวและเบื่อหน่าย คลายกำหนัดแล้วปล่อยวาง ยังต้องทำอีกหลายขั้นตอน

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓

ที่มา board.palungjit.com

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์วิจารณ์พระไตรปิฎกเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย




ถาม : สมัยอดีตกาลตอนที่พระพุทธเจ้าออกบวช ในโลกนี้มีศาสนาเดียวหรือหลายศาสนาครับ ?

ตอบ : มีมากมายหลายศาสนา มีการเชื่อถือและปฏิบัติแตกต่างกันไป แต่ว่าท้ายที่สุด ศาสนาพุทธที่ประกาศ อริยสัจ คือความจริงอันเจริญ สามารถครองใจคนได้ จนกระทั่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เพราะว่าเป็นของจริงของแท้พิสูจน์ได้ทุกเวลา จำไว้นะว่า ศาสนาพุทธเป็นอริยสัจ คือความจริงอันเจริญ ให้ทำตามอย่างเดียว ไม่ต้องไปเสียเวลาไปวิเคราะห์วิจัย

สมัยนี้พวกเรียนหนังสือเรียนมากไป พยายามจะเอาปรัชญามาจากพุทธศาสนา ปรัชญาเป็นเรื่องที่ยกขึ้นมาถกเถียงกันยังไม่รู้ที่จบ ถ้าจบแล้วจะแยกออกเป็นศาสตร์ต่างๆ กันไป เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น ไม่ใช่ความจริงอย่างของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานั้นเป็นอริยสัจ พระพุทธเจ้าทรงค้นคว้ามาจนจบแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นคว้าถกเถียงกัน เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือทำตาม แล้วผลจะเกิดเอง

มีคำกล่าวถึงพระพุทธศาสนาเอาไว้ในพระบาลีว่า "เกวลปริปุณณัง ปริสุทธัง" บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน ไม่ต้องไปยุ่งหรอก ทำตามอย่างเดียวก็พอ

สมัยนี้คนเก่งเยอะเขา วิเคราะห์พระไตรปิฎก กัน ...(หัวเราะ)... แค่นี้เราสู้ก็เขาไม่ได้แล้ว ลักษณะแบบนี้นอกจากจะเป็น "วิจิกิจฉา" แล้ว ยังเป็น "การปรามาสพระรัตนตรัย" อีกด้วย ไปวิเคราะห์พระไตรปิฎกกันว่า

ตรงจุดนี้คนทุกคนทำได้....เชื่อ

ตรงจุดนี้มีคนทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง...ละไว้ก่อน

ตรงจุดนี้คนโดยทั่วไปไม่สามารถทำได้...ก็ไม่เชื่อไปเลย

หลายท่านวิเคราะห์ว่า พระไตรปิฎกมาเขียนขึ้นในสมัยหลัง เป็นวิสัยของศิษย์ย่อมต้องสรรเสริญครูบาอาจารย์จนเกินจริงเป็นธรรมดา น่าทุบไหม ? คนเก่งมีมากขึ้นทุกที แต่มักจะเก่งในการหาทางไปนรก..!


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

ที่มา  board.palungjit.com

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

พระธาตุขององค์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

พระธาตุหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

พระธาตุของหลวงตาชุดนี้ ผู้เขียนได้ติดตามถ่ายภาพหลังจากหลวงตาละขันธ์(มรณภาพ)แล้ว โดยไม่คาดคิดว่าพระธาตุของท่านจะมีลักษณะหลากหลายโดยเกิดได้จากส่วนต่าง ๆ ของธาตุขันธ์(ร่างกาย)ได้หลายประเภท เห็นว่าน่าสนใจมาก จึงได้นำมาลงให้ชม

น้ำบ้วนปากของหลวงตามหาบัว

สังเกตด้วยสายตาไม่สามารถเห็นอะไรนอกจากเศษอาหารเล็ก ๆ ที่จมอยู่ในน้ำ แต่เมื่อใช้กล้องติดเลนส์ขยายพิเศษ พบว่ามีเศษอาหารและวัตถุทรงกลมเล็ก ๆ หลาย ๆ ชิ้นอยู่ในน้ำ และที่ผิวน้ำพบวัตถุสีใสลอยอยู่เป็นระยะ

คำหมากของหลวงตามหาบัว

บริเวณที่เป็นเนื้อหมากเกิดผลึกสีขาวใส ขาวขุ่น ส่วนใหญ่ มีสีเหลือง สีฟ้าใส สีเขียวใสประปราย ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า เจ้าของจึงไม่ทราบจนกระทั่งได้ใช้กล้องที่มีเลนส์แบบพิเศษถ่ายออกมา จึงได้เห็นพระธาตุขนาดเล็กเกิดบนชานหมากของท่าน ส่วนน้ำหมากได้เปลี่ยนสภาพไปเป็นพระธาตุทรงกลมสีแดงเข้มที่อยู่บนพื้นผะอบ

พระโลหิตธาตุของหลวงตามหาบัว ถ่ายภาพขยาย

พระธาตุข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว

พระธาตุจากข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว สังเกตุดูด้วยตาเห็นว่าไม่เน่าเปื่อย เมื่อถ่ายภาพโดยใช้เลนส์ขยายจะมีลักษณะเป็นประกายเล็ก ๆ ระยิบระยับดังภาพ

พระธาตุจากอัฐิธาตุ(กระดูก)ของหลวงตามหาบัว ถ้าดูด้วยตาจะไม่เห็นความเป็นประกายจนกระทั่งถ้าได้รับแสงจากแดดหรือไฟฉาย ก็จะเห็นความเป็นประกายระยิบระยับ  จากภาพได้ถ่ายโดยใช้กล้องกับเลนส์มาโคร(เลนส์ขยาย) เพื่อให้ได้เห็นประกายแสงชัดเจนขึ้น ซึ่งจากที่พบเห็น อัฐิทุกชิ้นจะมีประกายแต่บางชิ้นมีมากน้อยแตกต่างกันไป

พระธาตุจากอัฐิเถ้าอังคารหลวงตามหาบัว พระธาตุชุดนี้ผู้เขียนดูด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นความสวยงามชัดเจนนักเช่นกัน เนื่องจากพระธาตุมีขนาดเล็ก เห็นความเป็นมันเงากับแสงประกายสีทอง แต่เมื่อถ่ายโดยใช้กล้องกับเลนส์ขยายจะพบว่ามีหลายรูปพรรณสันฐานที่สวยงามชัดเจนขึ้น โดยด้านล่างมีพระธาตุที่มีรูปพรรณส้ณฐานที่แปลกคือมีสีคล้ายทองคำ

เมื่อผู้เขียนใช้เลนส์ขยายพระธาตุดังกล่าวก็พบว่ามีรูปร่างคล้ายพระธาตุทั่วไปแต่ผิวพรรณวรรณะมีลักษณะคล้ายทองคำ  ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเพราะไม่เคยพบเห็นจากที่ใด จึงได้ไปค้นคว้าพระธาตุของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ  แต่ก็ไม่พบภาพพระธาตุเป็นเหมือนทองคำลักษณะเช่นเดียวกับหลวงตานี้  ต่อมาผู้เขียนได้ร่วมจัดทำปฏิทินพระธาตุซึ่งต้องคัดกัณฑ์เทศน์ของหลวงตามาลง และได้พบในกัณฑ์เทศน์ที่กล่าวถึงพระธาตุสีทองจากเทศน์ของหลวงตา ท่านได้กล่าวไว้ในเทศน์เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๘ เรื่อง "เข้าสมาธิภาวนาระงับขันธ์"

"พระที่เพชรน้ำหนึ่งสำเร็จมาจากภาคเหนือน้อยเมื่อไร หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่มั่น ออกจากภาคเหนือทั้งนั้นนะ เพราะป่าเขาลำเนาไพรเป็นที่สะดวกสบายส่งเสริมได้เป็นอย่างดี นอกนั้นจะเป็นองค์ไหนบ้าง ที่ทราบชัด ๆ ก็คือหลวงปู่ตื้อ นี่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นที่ว่าเหล่านี้ หลวงปู่ตื้อนี้อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ โอ๋ย เหลืองอร่ามคล้ายกับทองคำนะ เราไปดูเอง

นั่นละพระท่านผู้หาอรรถหาธรรม ท่านจะไปหาที่เหมาะสม สถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญธรรมก็คือในป่าในเขาที่สงบงบเงียบ นั่นเป็นที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรม หลวงปู่ฝั้นนี้นุ่มนวล เหมือนช้างเดินลงทุ่งนา ท่านอาจารย์ฝั้นกิริยาอาการของท่านนุ่มนวล สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ไปอีกแบบหนึ่งที่ไม่มีใครเหมือน"

หลวงตาท่านพูดถึงพระธาตุของครูบาอาจารย์องค์ต่าง ๆ แล้วเน้นลงมาถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมอันเป็นที่เกิดพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งตรงกับในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่ภิกษุในการปฏิบัติภาวนาให้พิจารณา ขน ผม เล็บฟัน หนัง และให้พระอุปัชฌาย์บอกสอนแก่ภิกษุใหม่ดังนี้ "นั้นป่าเขา นั้นโคนไม้ นั้นเรือนว่าง อันเป็นที่สงบสงัด จงบำเพ็ญอยู่เช่นนั้นจนตลอดชีวิตเทอญ"

พระธาตุหลวงตา มีพระธาตุเสด็จมาเพิ่ม (สีขาวและสีเขียวขนาดเล็ก)

พระธาตุจากเมรุหลวงตามหาบัว เป็นส่วนที่ลูกศิษย์หลวงตาเก็บได้และนำมาบูชาและได้เสด็จเพิ่ม

พระธาตุจากเมรุหลวงตามหาบัว
พระธาตุจากเมรุหลวงตามหาบัวอีกลักษณะ มีสีขาวขุ่นและขาวใส หลังจากเก็บมาบูชาก็เสด็จเพิ่มอีก
ทันตธาตุ(ฟัน)หลวงตามหาบัว เป็นฟันซึ่ที่หลุดออกระหว่างท่านพักรักษาตัวอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดและได้มอบให้พระเก็บไว้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมันเงาเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังภาพ


พระธาตุเกิดจากชานหมากหลวงตามหาบัว ส่วนของชานหมากหากดูด้วยตาเปล่าจะมีขนาดเล็กว่านี้ เห็นเป็นเศษหมากและส่วนที่มีสีขาว เป็นประกายเมื่อโดนแสงไฟ น้ำหมากสีแดงได้หายไปกลายไปเป็นองค์กลมสีแดงชมพู 

ในส่วนขอชานหมากหลวงตา เมื่อใช้เลนส์กำลังขยายสูงถ่าย ปรากฎว่ามีผลึกสีขาวใสเล็ก ๆ สีเขียวอ่อน ๆ สีแดง สีเหลือง ปะปนกันอยู่จำนวนมาก

อีกภาพ พบว่ามีพระธาตุองค์กลมใสอยู่ทางด้านล่างซ้ายของภาพ (ขณะถ่ายไม่เห็นจึงไม่ได้โฟกัสไปที่ตำแหน่งน้ัน)

พระธาตุเกิดบนผ้าจีวรของหลวงตามหาบัว ติดบนเนื้อผ้า

พระบุพโพ-โลหิตของหลวงตา(น้ำเหลือง-เลือด) พระธาตุนี้มาจากก้อนสำลีที่ทำแผลหลวงตา ซึ่งมีคราบน้ำเหลืองและเลือดติดอยู่  ซึ่งทางหมอที่ทำแผลถวายหลวงตาปกติก็จะทิ้งลงถุงดำ แต่มีผู้ขอนำไปเก็บไว้ ต่อมาได้แห้งและเกิดเป็นประกายสีเหลืองสวยงาม จึงได้แกะออกจากสำลีพบมีสัณฐานกลมสีเหลืองซึ่งคาดว่ามาจากน้ำเหลืองขององค์ท่าน ส่วนผลึกสีแดงชมพูคาดว่ามาจากน้ำเลือดที่แต่เดิมติดอยู่กับสำลี

พระบุพโพ-โลหิตของหลวงตา ชุดเดิม แต่ถ่ายโดยใช้ไฟแฟลช จะเห็นความโปร่งแสงของพระธาตุ

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) เป็นภาพพระธาตุที่ผู้เขียนได้มาจากหนังสือพิมพ์ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากภาพมิได้บ่งอบอกลักษณะของพระธาตุแต่อย่างใด  แต่ในเนื้อข่าวได้ลงไว้ว่าเป็นพระธาตุซึ่งทำให้ผู้เขียนสงสัยและไม่แน่ใจ

ต่อมา ผู้เขียนได้ไปตามสืบหาผู้เก็บรักษา และได้พบจึงขออนุญาตถ่ายรูป
(กว่าจะตามพบและได้ถ่ายก็ในต้นเดือนสิงหาคม 2554 )

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) นี้ เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นความแปลกพิเศษแต่อย่างใด แต่เมื่อใช้แสงไฟฉายแรงสูงส่อง ก็จะเห็นประกายเล็ก ๆ ระยิบระยับมากมาย ดูสวยงามมาก

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง)ของหลวงตามหาบัว ต่อมาผู้เขียนลองใช้เลนส์พิเศษถ่ายขยายดูเนื้อพระธาตุนี้ ก็พบว่าเป็นลักษณะคล้ายไข่ปลาขนาดเล็กมาก มีทั้งสีเหลืองอ่อน เหลืองเข้ม และสีขาว มากมาย  ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

ภาพขยาย

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) จากผะอบเดียวกัน แต่มีสีเหลืองเข้ม

พระโลหิตธาตุของหลวงตามหาบัว

อัฐิหลวงตามหาบัวแปรเป็นพระธาตุ ที่ผ่านมาพระธาตุที่ผู้เขียนได้นมัสการก็จะมีการแปรลักษณะเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้วโดยไม่เหลือร่องรอยของชิ้นส่วนเดิมของร่างกาย(เช่นกระดูก) แต่พระธาตุองค์นี้เป็นลักษณะที่ผู้เขียนต้องการพบเห็นมากที่สุด เนื่องจากส่วนหนึ่งยังเป็นอัฐิ(กระดูก) อีกส่วนใสเป็นพระธาตุสีเขียวมรกตมีสัณฐานกลมสวยงามมาก ซึ่งจากที่พิจารณาดูอัฐิชิ้นนี้ไม่ใหญ่นัก หากมองด้วยตาเปล่าในที่แสงสว่างไม่มากก็จะมองไม่เห็นความโปร่งแสงของสีมรกตชัดเจน ลักษณะทั่วไปก็เหมือนอัฐิธรรมดา แต่เมื่อมองผ่านแสงไฟฉายหรือผ่านไฟแฟลชจะเห็นตรงส่วนที่โค้งกลมมีลักษณะใสเหมือนลูกแก้วสีมรกตสวยงามมาก ซึ่งทำให้ผู้เขียนหายสงสัยในเรื่องพระธาตุโดยสิ้นเชิงว่าเกิดมาจากอัฐิ (กระดูก)ได้จริง ๆ 

เกศาหลวงตามหาบัว(ผม) มีบางส่วนที่มีลักษณะคล้ายผลึกเล็ก ๆ ใส ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของพระธาตุ เห็นได้ด้วยตาเปล่า

ภาพขยายพระธาตุจากเกศาหลวงตามหาบัว มีลักษณะใส รวมทั้งเส้นเกศาด้วย

พระธาตุจากเกศาหลวงตามหาบัว มีลักษณะสวยงามมาก

ยังมีภาพพระธาตุหลวงตาอีกมากมาย แต่จะขออนุญาตนำมาลงในวันหน้า

ขอบคุณทุกท่านที่รับชม


ที่มา www.doisaengdham.org

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

คาถาเงินล้านและวิธีสวด




***คาถาเงินล้าน**

ตั้งนโม 3 จบ

สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ(คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม(คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ(คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ

(บูชากี่จบก็ได้ ตัวคาถาต้อว่าทั้งหมด ข้อความอธิบายในวงเล็บไม่ต้องสวด)
(พรหมา-อ่านว่า พรม-มา)
(สวาโหม-อ่านว่า สะ-หวา-โหม)

พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

คำอธิบาย-

หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ(องค์ปฐม)ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่า คาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น
คาถา"นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี 2532

คาถา"เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พฤศจิกายน 2533 เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็น"คาถามหาลาภ" มีผลยิ่งใหญ่มาก......

วิธีภาวนาคาถาเงินล้านให้บังเกิดผลวิธีที่ 1

ถาม : ตอนนี้ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน

ตอบ : ไปเอา คาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง มาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา

ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา

ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ?

ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่..

ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น

ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?

ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว

ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ?

ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง

แต่เขาบอกต่อๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน

ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก

ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง

ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุดๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย

ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน

ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ?

ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยันทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริงๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔


วิธีภาวนาคาถาเงินล้านให้บังเกิดผลวิธีที่ 2

ถาม : เรื่องลดค่าเงินบาท ?

ตอบ: ไม่ต้องถามจ้ะ เอาคาถาเงินล้านไปตั้งใจท่องอย่างจริงๆ จังๆ มันฟื้นเร็ว

ถาม : ท่องวันละ ๙ จบ ?

ตอบ: รู้มั้ย ? อาตมาเคยท่องวันละ ๑,๒๐๐ จบ จำไว้ว่าถ้าอยากรวยทำแค่นั้นนะเหรอ ? เยอะๆ หน่อย ๓๐๐,๕๐๐ จบไปเลยก็ได้ ท่องไปเลย ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้ให้ทำ เพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ อีกข้อหนึ่ง อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะๆ อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไป ก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

ถาม : จะดีขึ้นมั้ยครับ ?

ตอบ: ถ้าหากว่าเอาคาถาเงินล้านไปทำ ทุกอย่างมันจะดี เพราะคาถานี้เป็นเรื่องของลาภผลโดยตรง แล้วห้ามบ่นว่าเหนื่อย ถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องการงานมันมาชนิดทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย

ถาม : หนักไปทางสวดมนต์

ตอบ: อันไหนก็ได้ ขอให้เป็นการทำความดีเท่านั้น ในเมื่อเราสวดมนต์เก่ง ก็สวดคาถาเงินล้านแทนไปเลย

ถาม : ๙ จบน้อยไป ?

ตอบ: น้อยไป น้อยมาก อาตมาเองเล่นทีหลายๆ ร้อยจบมาหลายปีแล้ว มีอยู่ ๓ ปีเต็มๆ ที่ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อย ภาวนาไป ชักลูกประคำไปจน ๒ ข้างด้านเป็นเม็ดเบ้อเร่อเลย ลูกประคำเส้นนั้น โดนเขาปล้นไปแล้ว เพราะว่าชักมันจนเป็นแก้วไปเลย คิดดูแล้วกัน มือถูกับไม้จนกระทั่งไม้ใสเป็นแก้วไปเลย เป็นยังไงล่ะ ? ถ้าไม่ทำจริงๆ ขนาดนั้นไปไม่รอดหรอก

ทำเพราะว่าอาตมาเชื่อครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่เริ่มต้น ตั้งแต่รู้จักศึกษาวิชาการที่สอนให้ ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมด ในเมื่อท่านบอกว่าคาถาเงินล้านทำแล้วรวย

สมัยหลวงปู่ปาน ก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่านทำแล้วรวยเป็นหลักเป็นฐาน มาถึงรุ่นหลวงพ่อ ไม่มีใครทำจริงๆ อาตมาก็เลย...กูทำเองก็ได้ อาตมาใช้เวลาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เวลา ๑๓ เดือน สร้างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างจากพื้นดินเปล่าๆ ปัจจุบันนี้ทำที ๔-๕ วัดพร้อมๆ กันโดยไม่กลัวไม่มีสตางค์ เพราะว่าคาถาบทนี้บทเดียว ไปทำเถอะ

ถาม : งานขาดทุน สับสน?

ตอบ: ไม่ต้องสับสนอะไรทั้งนั้น ถ้าเรามาถึงจุดนี้แล้ว โยมมีสมเด็จคำข้าวหรือสมเด็จหางหมาก สมัยหลวงพ่อไหม ? ถ้าหากว่าไม่มีไปหามาแล้วใช้ควบคาถาเงินล้าน ทุกอย่างจะคล่องหมด ขอให้ทำจริงๆ เท่านั้น ทุกอย่างจะคล่องตัวหมด

เคยภาวนาแล้วอยากจะรู้ว่า ในแต่ละวัน ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้าๆ สติจับตามอยู่ตลอดทุกคำ ประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ จะดูว่าได้เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่ตี ๓ ยัน ๑ ทุ่มของแต่ละวัน จะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ จะมีเวลาหยุดกินข้าว ตีซะว่า ๒ มื้อ ๑ ชั่วโมงแล้วกัน ตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ เดือนเต็มๆ ทำจนกระทั่งคำนวณได้ว่าแต่ละวันจะได้ประมาณ แต่ถ้าท่องเร่งๆ ได้เยอะกว่านั้นเยอะ แต่นี่ประเภทเอาคุณภาพกันเลย ทำให้มันจริงๆ ซะที อาตมาเอาต้นทุน ๓๐๐ นี่ล่อซะ ๓ ปีเต็มๆ เสร็จแล้ว ๑,๒๐๐ จบนี่เล่นอยู่ประมาณ ๓ เดือน แล้วหลังจากนั้นมาเปลี่ยนเป็นนึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้น ไอ้เรื่องนับจบเลิกนับแล้ว


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ประวัติพระคาถาเงินล้าน




เสียงสวดพระคาถาเงินล้านพระวัดท่าซุง


ที่มา : http://board.palungjit.com


วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

กรรมฐานแก้กรรมอย่างไร หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน



กรรมฐานแก้กรรมอย่างไร หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

ถ้าท่านพบพระเมื่อใด ท่านจะสบายใจเมื่อนั้น
การเจริญกรรมฐาน ให้พบพระที่ถูกต้อง
ถ้าท่านกำหนดจิต โดยใช้ชีวิตที่จะพบพระ
มีการกำหนดจิตให้มีสติสัมปชัญญะ สร้างความดีให้กับตัวเอง
ท่านจะพบพระ จิตใจจะประเสริฐ จิตใจจะเย็นสบาย มีความสุข
ถ้าจิตใจมีแต่ความทุกข์ ท่านจะพบพระได้ที่ไหน
มาพบพระที่วัดอัมพวันก็ไม่ใช่พระของท่าน
พระอยู่ในจิตก็หารู้ไม่ กลับเอาพระออกจากจิตใจไปเสีย
เอาความวุ่นวายเข้ามาแทนที่ สร้างความดีไม่ได้ดังกล่าวแล้ว
ไฉนเลยเล่าจะพบของดีในตัวเอง ก็คงจะไม่ได้ผล
ไม่ได้อานิสงส์ในการพบพระในการปฏิบัติกรรมฐาน

ท่านโปรดทำความเข้าใจ บ่อบุญบ่อบาปอยู่ที่ใด เวรกรรมอยู่ตรงไหน
ที่ควรจะแก้เวรแก้กรรมจากการกระทำของตนนั้น ไม่ค่อยจะแก้กัน
มีแต่มาเพิ่มปัญหา มาเพิ่มเวรเพิ่มกรรม มาเพิ่มบาปให้กับจิตใจ
พระจะอยู่กับท่านได้อย่างไร
พระชอบมีความสุข ความเย็นใจ
ถ้าหากพระอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นใจประเสริฐล้ำเลิศทุกประการ
ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ท่านจะไม่มีความทุกข์เลย
ไม่ว่าจะมีบ้านใหญ่บ้านโต บ้านเล็กบ้านน้อยก็ตาม
จะมีแต่ความสุขความสนุกในการทำงานตลอดรายการ


อาตมากล่าวเบื้องต้นต่ำๆ ง่ายๆ ถ้าท่านตีความแล้วไม่เข้าใจ
ตอบท่านที เพราะท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไม่ได้
เหตุที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะไม่ได้ใส่ใจในบุญ แต่ไปใส่ใจเรื่องอื่น
มีแต่ผีเข้าเจ้าสิง มีองค์นั้นองค์นี้เข้ามาสิง
แล้วจะพบพระได้อย่างไร ถ้าไม่มีพระ ปีศาจเข้าสิง
ถ้ามีพระประจำจิตประจำใจ ปีศาจที่ไหนจะมาสิง
องค์ไหนจะมาอยู่กับท่านขอฝากด้วย
ควรมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสิงสถิตอยู่ที่จิตใจ
นำพระธรรมคำสั่งสอนมาปฏิบัติ
จะเกิดพระสงฆ์ รัตนอันประเสริฐล้ำเลิศให้แก่ท่าน
นั่นแหละพบพระ
ท่านจะมีจิตใจสะอาดหมดจดบริสุทธิ์
ไปไหนก็สะดวกสบายปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
ท่านจะมีที่พึ่งทางใจสืบต่อไป

ถ้าท่านปฏิบัติธรรม จะพบพระธรรม
ถ้าท่านฟังแต่ไม่ได้เคยปฏิบัติตามที่ได้ชี้แจงแสดงบรรยายแต่ประการใด
ก็เห็นจะเป็นไปได้ยากมาก
การปฏิบัติธรรม ต้องรู้หลักกรรมฐาน
อาตมาพยายามอธิบายให้ชัดเจนเป็นภาษาไทย
ไม่ยกศัพท์บาลีไวยากรณ์แต่ประการใด
ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็คงต้องเลิกอธิบายได้ เพราะหมดโอกาสแล้ว
บัวสี่เหล่าอยู่ใต้ดินแล้ว หมดโอกาสจะรู้หรือลืมตาอ้าปาก
เหินฟ้าเห็นดินอย่างคนอื่นเขา เป็นไปได้ยาก
เพราะคนไร้บุญขาดวาสนานำพาส่งกุศล
ก็จะไม่ได้ผลแต่ประการใด

กรรมฐานพบพระ การกระทำให้ฐานะดี
เกาะอยู่ในจุดมุ่งหมายแห่งศีล สมาธิ ปัญญา
ให้จิตเกาะอยู่กับสติ สติเกาะอยู่กับจิตให้ได้
ถ้าเกาะกันติดเมื่อใด ท่านจะพบพระเมื่อนั้น
สัมปชัญญะความรู้ตัวว่า เราทำอะไรอยู่
ทำแล้วจะได้ประโยชน์อันใด
ทำแล้วจะเป็นบุญหรือเป็นบาปประการใด
ท่านจะรู้และเข้าใจประการนั้น
กรรมฐานต้องการจะให้ฐานะดี ให้จิตอยู่กับสติปัญญา
สติปัญญาอยู่กับจิต รับรองท่านจะมีพรสวรรค์อยู่ในตัวเอง
จะมีพระประจำใจ ไปเหนือมาใต้ปลอดภัยทุกประการ
จิตใจสะอาดบริสุทธิ์เกิดขึ้น สมองกลดลบันดาล
จะคิดอ่านเขียนเรียนวิชาสำเร็จ จะทำธุรกิจธุรการ
จะทำงานการค้าสำเร็จหมด มันอยู่ตรงนี้
แต่เราขาดการปฏิบัติมาก

บางคนมานั่งกรรมฐาน คุยกันไปคุยกันมา
ก็บอกอยากไปวัดโน้น วัดโน้นนั่งวันเดียว เห็นสวรรค์เห็นนิพพาน
แต่ที่วัดอัมพวันนั่งกรรมฐาน ไม่เห็นสวรรค์นิพพาน
อาตมาดูหน้าก็รู้ว่า ไม่เคยกำหนดจิตเลย
ไม่เคยคุมสติกำหนดจิตแม้แต่ 5 นาทีเลย แล้วจะพบพระไหม
มาเห็นพระสงฆ์เห็นผ้าเหลืองก็ใช้ได้ ก็ไม่ต้องไปวัดอัมพวันหรอก
ไปดูที่เสาชิงช้าก็ได้เพราะมีขายผ้าเหลืองมากมาย
บ้างก็มีนิมิตฝันไปอย่างโน้นอย่างนี้
ถามว่ากำหนดหรือเปล่า เขาบอกกำหนดอย่างไร
ถ้าท่านไม่เคยปฏิบัติมาจากที่ใด ทำตามที่อาตมาสอน
รับรองได้ผลภายใน 7 วัน
บางคนปฏิบัติจากสำนักโน้นบ้างสำนักนั้นบ้าง
เข้าใจผิดคิดว่าตัวได้ผลได้อานิสงส์มาแล้ว จะไม่ได้อะไรเกิดขึ้น


ถ้าท่านขาดสติเมื่อใด พระจะหนีเมื่อนั้น
สัมปชัญญะ ความรู้ตัว รู้ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป
ที่เราทำไปนั้นมันจะเดือดร้อนหรือไม่
นี่ตัวสัมปชัญญะ แปลว่า ตัวกำหนดชะตากรรมของตนเอง
บางคนบอกตนเองเคราะห์หามยามร้าย
เช่น พรหมลิขิตขีดมาให้ไม่ดี
ข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้นแต่ประการใด
เรามาขีดตัวเองให้กลับเลวร้ายต่อไป
ตัวเราเองเป็นคนขีดชะตากรรม มิใช่คนอื่นทำให้แต่ประการใด
เพียงยืนหนอ 5 ครั้งก็ทำกันไม่ได้
สับสนอลหม่านวุ่นวายกันนานาประการ จึงไม่รู้วาระจิตของตน
ถ้าพบพระประจำตนประจำถิ่นประจำฐาน ประจำครอบครัวเมื่อใด
ครอบครัวท่านจะมีแต่ความรุ่งเรือง มีแต่ความสุข
สามีภรรยาก็อยู่ด้วยความสุขความเจริญ
ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์เหมือนแต่ก่อนมา

อาตมาสังเกต บางคนเสียเงินค่ารถเดินทางมาปฏิบัติธรรม
แต่ไม่ได้สนใจปฏิบัติ เงินทองค่ารถที่เสียไปก็พอจะหาใหม่ได้
แต่อยากจะเรียนถามว่า เวลาที่หมดไปแล้วจะไปเรียกคืนได้จากที่ไหน
เวลาอันมีประโยชน์ เช่น วันพระควรเจริญกุศลภาวนา
ตั้งสติอารมณ์บ้าง ได้กำหนดจิตบ้าง
บางคนไม่รู้ว่ากำหนดอย่างไร ก็คือ กำหนดให้จิตมีสติ
เพราะจิตมันเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านรับรู้เหมือนเทปบันทึกเสียง
มันไม่มีตัวตน อารมณ์ นั่นคือ จิต
อารมณ์ดี คือ จิตดี อารมณ์เสีย คือ จิตเสีย
อารมณ์เลว คือ จิตเลว อย่างนี้เป็นต้น


อารมณ์ แปลว่า จิต จิตดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่มีสติ
อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกนั้นไว้บ้างหรือเปล่า
พองหนอ ยุบหนอ คือ ลมนั่นเอง
เรียกว่า อานาปานสติ
นำเอาสติเข้าไปในลมหายใจในปัจจุบัน
หายใจให้ยาว อย่าหายใจสั้น
คนที่หายใจสั้นโมโหเก่ง แล้วใจร้อน
ทำอะไรไม่ได้ผล ไม่ได้กุศลแต่ประการใด
ทำให้ได้ปัจจุบันธรรม หมายความว่า ให้สติอยู่กับจิต
ให้ปัจจุบันผนวกโดยสัมปชัญญะ
สัมปชัญญะแปลว่า รู้ตัว บางคนนั่นไม่รู้ตัวเลย ดิ่งพสุธา
สมาธิมีมาก แต่ขาดสติ ในเมื่อขาดสติแล้ว ก็งูบหน้างูบหลัง
ไม่สามารถกำหนดจิตของตนเองได้
การกำหนดนี้ แปลว่า ชะตากรรมจากการกระทำ เรียกว่า กรรมฐาน

กรรมฐาน แปลว่า ฐานะอยู่ในสิ่งที่เป็นบัณฑิต มีความคิดสูง
ออกมาในลักษณะนี้เรียกว่า พบพระ
พระ คือ ใจประเสริฐ
คนใดมีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตไว้ได้
ไม่ให้จิตฟุ้งซ่านออกไปคิดเสียใจ โกรธ ผูกพยาบาท
ถ้ามีพระประจำจิตประจำใจ มีสติสัมปชัญญะดีแล้ว
ลมหายใจเข้าออกได้ปัจจุบัน จะเสมอต้นเสมอปลาย
สติก็จะดีขึ้น พระก็จะเริ่มมา
จิตใจก็ล้ำเลิศ อารมณ์ก็ดี มีปัญญา
จะคิดเขียนเรียนวิชาก็สำเร็จ จะขายบ้านขายที่ดินก็สำเร็จ
สำคัญมีแต่ผูกใจเจ็บ พระท่านก็หนีออกจากจิตใจไป
คือ สติสัมปชัญญะเพี้ยนไป ขาดสติขาดสัมปชัญญะมาก
จึงไม่มีโอกาสพบพระ จะไม่มีโอกาสพบผู้มีปัญญา


ปัญญาก็ติดมากับตัวเราทุกคน แต่นำเอาปัญญาไปทิ้งเสีย
เอาสิ่งอื่นมาแทนที่ จึงกลายเป็นคนไร้ปัญญา ขาดวาสนา
จะทำมาหากินก็ไม่ขึ้น ไปประกอบอาชีพการงานก็ไม่ได้ผล
เขาค้าขายกัน 3 ปีมั่งมีศรีสุข เราค้าขาย 3 ปีหมดไป
ไม่มีอะไรเหลืออยู่ แม้แต่กำไรก็ไม่ได้
ทุนก็หมดไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น

นี่ความหมายการเจริญกุศลภาวนานี้ ต้องการจะพบพระ
หายใจยาวๆ คนที่มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา จะมีปัญญา
คนที่อารมณ์เย็นมีปัญญา คนอารมณ์ร้อนไม่ค่อยมีปัญญาหรอก
ทำชั่วได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว
วูบเดียวเท่านั้น เสียข้าวเสียของเดือดเนื้อร้อนใจตลอดรายการ
ไฉนเลยเล่าจะพบพระ พระหนีหมด
ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องไปเช่าพระมาแขวนคอ แล้วจะให้พระช่วย
บางคนก็ไม่เข้าใจ เวลาปวดก็บอกขอให้ครูอาจารย์ช่วยหน่อย
ช่วยแผ่เมตตาให้หน่อย ครูอาจารย์ก็โง่เหมือนกัน แผ่เมตตาเลย
ไม่ใช่อย่างนั้นมันคนละเรื่องกัน
ปวดนี่ดีแล้ว ถ้าเจริญกรรมฐานไม่ปวดไม่เมื่อยแล้ว
จิตไม่ออกใช้ไม่ได้ มันจะต้องสับสนอลหม่าน
จะต้องปวดเมื่อยทั่วสกลกาย นั่นแหละได้ผล
เราต้องตั้งสติกำหนดตรงนั้น ปวดกี่เปอร์เซ็นต์ ปวดขนาดไหน
มันจะแจ้งแก่ใจ เป็นปัจจัตตังของมันเอง
และการปวดนั้นมันมีสภาวะรูป อาศัยรูป และสังขารปรุงแต่ง
จึงปวดทั่วสกลกาย ถ้าเราขาดรูปไป ขาดนามไป มันจะปวดได้หรือ

บางคนก็แน่เลยมานั่งกรรมฐาน มีหมอนวดมาด้วย
เลยก็ต้องนวดกัน แล้วจะพบพระได้อย่างไร
จะพบแต่ความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเศร้าหมองใจ
แล้วหาว่านั่งกรรมฐานไม่ได้ผล
เท่าที่อาตมาสังเกตดูเสียดายเวลาเรียกคืนไม่ได้แล้ว
กลับไปบ้านก็แบบเก่า ไม่ได้เคยเอาพระไว้ในจิตใจเลย
กลับไปนั่งทะเลาะกันอีก แล้วมานั่งแลกบุญกัน
มานั่งให้สามีกลับ มานั่งให้ขายที่ขายทางได้
ถ้าท่านมีบุญวาสนา หยิบเงินไหลนองหยิบทองไหลมา
นี่แหละคนมีบุญวาสนา ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
เหมือนชาติทองคำต้องสู้ไฟ ไม้ใหญ่ต้องสู้ลมเช่นดังกล่าวมา

คนบางคนไม่สู้เลย ไม่มีความอดทน ไม่ใช่ทองคำ ก็คงจะเป็นตะกั่ว
เป็นทองแดง เป็นทองเหลือง
ไม่มีความอดทนต่อสู้กับเหตุการณ์ของชีวิต แล้วจะได้อะไรหรือ
สร้างบุญให้มันเกิดแก่ตัวเอง
ให้เกิดวาสนานำพาส่งผลกุศลได้ด้วยตัวเอง
ใครทำใครได้ ใครไม่ทำใครก็ไม่ได้
บุญนั้นแบ่งกันไม่ได้ ไม่ใช่บุญบาปแบ่งได้นะ
อาตมาไปทำบาปอย่างร้ายแรงมา ให้เอาของชั่วมาให้ท่านจะเอาไหม
ทุกคนไม่ต้องการของชั่ว ต้องการของดีทั้งนั้น
แต่ไม่สร้างความดีดังที่กล่าวมา
เอาแต่ของชั่ว ตามใจตัวเอง มันหลั่งไหลไปสู่ที่ต่ำ คือ จิต

อาหาร 3 อย่างของจิต คือ โลภ โกรธ หลง
จิตมันชอบสิ่งที่สบายด้วยกันทุกคน แต่ต้องฝืนใจ จึงจะพบของดี
คนเราฝืนใจไม่ได้ เอาดีไม่ได้แน่นอน

ขอเจริญพรอย่างนั้น อาตมาจึงมาเปรียบเทียบพังเพยให้ฟังว่า
ผู้หญิงที่น่าเกลียด คือ ผู้หญิงที่ตามใจตัว
ผู้ชายที่น่ากลัว คือ ผู้ชายที่ไม่รู้จักเกรงใจคน
ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขอฝากไว้คนจะรู้ตัวได้
เพราะมีสติ มีสัมปชัญญะ มีกรรมฐานอยู่ควบคุมไว้ได้
จิตนั้นจะรู้ตัวว่าทำดี หรือทำชั่วประการใด
มันจะระลึกชาติของตัวเองได้ดังที่กล่าวมา


ถ้าหากว่าไม่พบพระ จะระลึกอะไรไม่ได้เลย
เพราะจิตใจมันไหลไปสู่ที่ต่ำ มันจะดึงไปสู่ความไม่ดี
อาหารจิตมันชอบโลภ อยากได้ ชอบขี้เกียจ
ชอบอิจฉา ชอบริษยา จิตมันชอบสบาย คือ คนโง่
ไม่ชอบเฉลียวฉลาด ชอบนอนไม่เอาการเอางานแต่ประการใด
เรียกว่า อาหารจิต เรียกว่า โมหะ โง่ที่สุด โง่เง่าแถมเต่าตุ่น
เต่าก็ยังดีกว่ากระต่าย ยังพยายามต่อไป
ขามันสั้นก็พยายามจนถึงที่หมาย
คนเราถ้าขาไม่อยากเดิน ไม่อยากก้าว ไม่อยากสร้างความดี
มันก็อายหอยอายเต่า หอยนั้นมันเอาปากเดิน
เดินได้ระยะทางเป็นกิโลๆ ตัวตุ่นนั้นเป็นอันว่าใช้ไม่ได้
ไม่ได้มองหน้าใครเลย ตัวโมหะนี่ตัวตุ่น

คนดีมีปัญญาจะลงทุนความลำบากเสมอไป
นี่แหละพระเอกนางเอกละครชีวิต
สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้
คนชั่วชอบลงทุนความสบาย
กินสบาย นอนสบาย ไม่เอาการเอางาน
ออกมาอย่างนี้เอาปูนหมายหัวไว้ก่อน
ไม่เป็นพระเอก ต้องเป็นขี้ข้าเขาตลอดไป
จะไปอยู่บริษัทไหน ก็ต้องเป็นขี้ข้าเขา
จะเป็นหัวหน้าเขาหรือจะเป็นเจ้าของบริษัทหาได้ไม่
คนที่ดีมีปัญญา เขาลงทุนความลำบากเหลือเกิน
การเจริญกรรมฐานบอกไวัชัด
คนที่สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากทั้งนั้น
สร้างความดีต้องมีอุปสรรค เจริญกรรมฐานต้องมีอุปสรรคคือมาร
มารจะต้องมาผจญกับท่านแน่นอน
จะคอยกระซิบบอก เลิกเถอะ ไปนั่งทำไม
ทรมานกายไปเปล่าๆ แล้วก็เลิกไป
แพ้มารสอบตก มารตัวนั้นอยู่ที่ไหนหรือ ก็อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง
กลายเป็นปีศาจผีสิง เรียกว่า สันดาน
ไฉนเลยจะได้ดิบได้ดีไปกับเขาได้ มันจะหมดโอกาสสร้างความดี


คนเรานั้นไม่ชอบไปนั่งตากแดดหรอก
อยากอยู่ในที่ร่มด้วยกันทุกคน
แต่จุดมุ่งหมายวิธีปฏิบัติมันมิได้เป็นเช่นนั้น
คนที่ดีมีปัญญาต้องอดทน ตรากตรำทนความลำบาก
และทนความเจ็บใจได้ทุกประการ จึงจะพบของดี
ถ้าอดทนไม่ได้แล้วนั้น จะไม่พบของดี พบของปลอมในจิตใจ
จิตตัวเองเก๊ เอาดีไม่ได้จะไปไหนก็เก๊ตลอด
จะทำอะไรก็เก๊ ไม่มั่นคง เป็นคนหยิบโหย่ง
ขึ้นห้วยลงเขา เอาการเอางานไม่จริง
ทำอะไรจิ้มๆ จ้ำๆ เหมือนการเจริญกรรมฐาน จิ้มๆ จ้ำๆ เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ
แถมเอาเรื่องมาให้ด้วย
มาทำให้เปลืองเวลาคนอื่นเขาด้วย อย่างนี้เป็นต้น

การเจริญกุศลภาวนา ต้องการต่อสู้ชีวิต
ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน
ต้องการจะใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ในการเดินทางของตน
ต้องการให้ตนเองพบพระที่แน่นอน
พบพระแท้ในตัวเอง ไม่ใช่มาพบอาตมาแล้วถือว่า พบพระแล้ว
หาว่าเป็นพระ สุปฏิปันโนบ้าง สุปฏิปันโนมันอยู่ที่ใจท่าน

สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฏิปันโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ สามีจิปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เป็นต้น
เราต้องการจะพบพระที่จิตใจของเรา
การเป็นผู้ประพฤติดีต้องปฏิบัติชอบด้วย
คือ ตัวเราเป็นผู้ประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบประกอบกรรมดีแล้ว
ไม่ประกอบกรรมชั่วอีกต่อไป จึงจะเป็นสุปฏิปันโน

วันเสาร์วันอาทิตย์ บางคนไปทัวร์บุญกัน
ไปหาพระสุปฏิปันโนกันเป็นทิวแถว เสียดายเสียใจด้วย
น่าจะพิจารณาตัวเองด้วยว่ามีพระสุปฏิปันโนไหม
ประพฤติดีแล้วหรือยัง ปฏิบัติชอบแล้วหรือยัง
หรือจะประกอบกรรมชั่วแต่ประการใด
จะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นคนชั่วเป็นคนดีไป
นั่นแหละเศรษฐีในใจ แล้วแล่นใบบนบกกัน
นั่งกรรมฐานต้องการให้เป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน
ถ้าท่านมีบุญวาสนาพบพระเมื่อใด ใจประเสริฐเมื่อใด
เงินจะไหลนองทองจะไหลมาเอง
ทานและการบริจาคก็เกิดขึ้น คือ เมตตา
เอาสติปัญญาไปช่วยเขา ไม่จำเป็นต้องใช้สตางค์
ใชัปัจจัยแต่ประการใด ใช้สมองไปช่วยเขา
ใช้สติปัญญาไปแนะนำเขา ใช้กำลังกายไปช่วยแบกหาม
แล้วไปช่วยงานกัน ใช้จิตใจให้กำลังใจ และเมตตาต่อกัน
สายสัมพันธ์เรียกว่า มนุษยสัมพันธ์ ทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา
ทำให้คนนิยมชมชอบ ทำให้มีไมตรีจิตมิตรภาพเกิดขึ้นแก่ตนเอง

ถ้าท่านมีพระประจำจิตมีพระประจำใจแล้ว
ท่านจะเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตาปราณี
อารีเอื้อเฟื้อขาดเหลือคอยดูกัน ไปเหนือมาใต้มีแต่คนรัก
มีแต่คนนิยมชมชอบ มีแต่ให้คนเลื่อมใสศรัทธาเกิดขึ้น
แล้วทำให้คนเหล่านั้นมีไมตรีจิตกับเราผู้มีพระประจำจิตประจำใจ
ไปที่ใดมีแต่คนต้อนรับขับสู้ ดูพองามตามระเบียบของคนที่พบกัน
มีมนุษย์สัมพันธ์ มีอัธยาศัย มีน้ำใจอันงามออกมาแสดงให้เขาเห็น
นี่สิจึงเป็นสุปฏิปันโน มีแก้วประเสริฐอยู่ในจิตใจ
นึกเงินไหลนอง นึกทองไหลมา
ไม่จำต้องกล่าวว่าต้องไปหาพระในถ้ำ
ไปหาสุปฏิปันโนตั้งแต่ภาคอิสานยันภาคใต้
มาวัดโน้นไปวัดนี้หาพระสุปฏิปันโน กลับไปเสียเงินเสียทอง
แล้วพระในใจก็ไม่มีสุปฏิปันโน
ความประพฤติดีประพฤติชอบในตัวเองก็หมดไป
ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่น้อย ไหนเลยพระสุปฏิปันโนอยู่ตรงไหน
แล้วจะเอาอะไรมาเป็นตัวอย่างได้

เราบอกว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า
ก็คือ พระรัตนตรัยอยู่ที่จิตใจของท่าน
ท่านก็เกิดผลปัญญา เกิดปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณก็เกิดขึ้น
คุณอันเป็นประโยชน์ ก็คือ เมตตา
ได้แก่พระมหาเมตตาคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ประจำจิตประจำใจท่าน
และท่านก็บริสุทธิ์ใสสะอาด บริสุทธิ์เกิดขึ้นเอง
ในเมื่อเกิดขึ้นเองแล้ว สุปฏิปันโนก็เกิดแจ้งชัดขึ้นมา
เป็นผู้ประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ปฏิบัติกรรมดีแล้ว
ไม่มีกรรมชั่วต่อไป ท่านก็เอาอันนี้ไป
ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน
ตรงคงวาคงศอกถูกต้องทุกประการแล้ว
จะแสดงพฤติกรรมไปให้คนอื่นเขาเมตตา
เขาดูตัวอย่างที่ดี เรียกว่า ไมตรีจิตมิตรภาพ
แสดงออกให้คนอื่นเขาเห็นว่า มีมิตรภาพ
ทุกคนชอบมีไมตรีจิต ชอบมิตรภาพ
ชอบสังคมในเรื่องเมตตา
จะไปทางไหนมีแต่คนบูชา มีแต่คนรัก คนเกลียดจะไม่มีเลย

ใครจะเกลียดพระ ถ้าท่านใจเป็นพระแล้ว
ใจเป็นมหานิยม มีนิยมชมชอบ คือ ปัญญานี่เอง
เรียกว่า ภาวนามยปัญญา
ปัญญาภาวนาให้มันเกิด ให้พระเกิดที่จิตใสสะอาด
เหมือนทองคำธรรมชาติ ปัญญาก็ไว
ทำอะไรคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็วทันใจ
ถูกต้องเป็นธรรมภาวนาให้มันผุดขึ้นมาในใจ

มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
จะรู้กฎแห่งกรรม จะระลึกชาติได้
สามารถจะแก้กรรมได้โดยภาวนาอันนี้ เรียกว่าทำให้เกิดปัญญา
ภาวนาหนักเข้ามีสติสัมปชัญญะ
เจริญสติปัฏฐาน 4 กายานุปัสสนา
กายจะยืน เดิน นั่ง นอน เลี้ยวซ้ายแลขวา คู้เหยียด เหยียดขา
มีสติสัมปชัญญะ จะเดินก็เป็นพระ จะพูดก็พูดแบบพระ
พระนี้ คือ ใจประเสริฐ พูดออกมาทางวาจาไพเราะเพราะพริ้ง
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
พูดดีเป็นเงินเป็นทองไปหมด พูดไม่ดีเสียข้าวเสียของหมด

บ่อบุญ บ่อบาป จึงอยู่ที่วาจา อยู่ที่ทวาร 3
ทวารกาย ทวารวาจา ทวารใจทวารจิตนี่เอง
เป็นบ่อบุญบ่อบาปใช่หรือไม่
บางคนบ่นเสียดาย บอกให้มาฟังธรรมะหน่อยในวันพระจะพูดให้ฟัง
ลาไปแล้ว จะต้องไป ธุรกิจต้องรีบไป ควรจะนั่งฟังก่อน
แล้วมาบ่นว่ามาตั้ง 3 หนไม่เจอหลวงพ่อเลย
ถามว่ามาวันพระบ้างหรือเปล่า บอกวันพระไม่ได้มา
วันพระก็ลาไปแล้วจะเจอกันหรือ
โยมมาทางเหนือ อาตมามาทางใต้
คงไม่เจอกัน แล้วจะไปนัดพบกันตรงไหนเล่า

การเจริญกรรมฐาน ขอให้ทำให้ได้จริง พูดให้มีเหตุผล
มีกุศล ไม่โฮกฮาก ไม่ใช่คำหยาบ และวาจาก็ไม่สามหาว
บางคนนึกจะพูดก็ไม่มีหูรูดนะ ไม่ได้ตั้งสติเลย นี่คือ กรรมฐาน
จะพูดอะไรตั้งสติก่อน บางทีไปว่าเขา พอนึกได้ก็เสียใจ
กำหนดไม่ทัน เสียใจต่อมาภายหลังทุกคน
การเจริญกรรมฐานต้องการกำหนดปัจจุบัน
เป็นการแก้กรรมปัจจุบันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ที่จะมาปรารภในวันข้างหน้า นี่มันต้องแก้ตรงนี้นะ

อาตมาเสียใจด้วยกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติจริง เสียเวลาเหลือเกินนะ
มานั่งคุยกัน มาฆ่าเวลาทำไมเล่า
จะได้กำไรแน่ๆ ไปค้าขายวันนี้ขาดทุน พรุ่งนี้ก็ได้กำไรนะ
เสมอตัววันนี้พรุ่งนี้จะได้กำไร มันต้องขาดทุนก่อนเสมอ
จะทำมาหากินก็ต้องลงทุน ปฏิบัติกรรมฐานก็ต้องลงทุนใช่ไหม
บุญกุศลสำคัญมาก เสียเพื่อได้ ช้าเพื่อไว
รวดเร็วทันใจถูกต้องเป็นธรรม ต้องการตรงนี้
เป็นบุญเป็นกุศล ทวาร 3 เป็นสำคัญ
กายานุปัสสนา ตั้งสติไว้ ถ้าสติดี สัมปชัญญะดี
กายนอกกายใน เรียกว่า กายทิพย์
มีทิพย์อำนาจทางกาย จะยืน เดิน นั่ง นอน มีคนชอบ
มีมารยาท เดินไม่ขย่มธรณี ไม่ลงส้น เดินเรียบร้อย สวยน่ารัก
ถ้าท่านเดินมีสติสัมปชัญญะ มีพระอยู่แล้ว
เดินจะสวยงามเหมือนพระพุทธเจ้าปางพุทธลีลา
ใครเห็นใครชมนิยมชอบ ออกมาเป็นระบบนี้จึงจะเรียกว่า กรรมฐาน

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะแล้ว ไม่ต้องไปเรียกขวัญ
ปลอบขวัญแต่ประการใด เรามีขวัญเรือนอยู่แล้ว
เราก็เป็นพ่อขวัญแม่ขวัญอยู่ในตัวเอง
เรามีบุตรธิดาเป็นลูกแก้วลูกขวัญของบ้านเราต่อไป
ได้ภรรยาเป็นเมียแก้วเมียขวัญ
ได้ผัวก็เป็นผัวแก้วผัวขวัญอยู่ด้วยกันราบรื่นชื่นบาน
อยู่กันแบบพระ ใจก็เป็นพระไม่ทะเลาะกัน
จะไม่สงสัย ไม่มีหึงหวงหนักหน่วงในหัวใจ
จะไม่ทั้งรักทั้งแค้น ทั้งแน่นในทรวง หึงหวงหนักหน่วงในหัวใจ
ถ้าหากว่าสามีไม่ใช่พระ ไม่ใช่ผัวแก้วผัวขวัญ
ก็ขอให้ภรรยเป็นเมียแก้วเมียขวัญ
มีพระประจำใจก็ดึงเอาสามีเข้ามีดีได้
ออกมาอย่างนี้จึงต้องมาค้นพบพระด้วยการเจริญพระกรรมฐาน


เราเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทุกคน ไม่ต้องไปว่ากล่าวตักเตือนกันอีกต่อไป
ท่านสร้างความดีก็ไม่ไปไหนเสีย ท่านสร้างความชั่วก็ติดตัวท่านนั่นเอง
ไม่มีใครเขาแบ่งความชั่วของท่านไปได้
ไม่มีใครเขาแบ่งบุญไปได้
เรามีความสุขความเจริญในครอบครัว
ผู้ใดอยากมีความสุขก็ปฏิบัติเอาเอง
ต่างคนต่างทำเอง ไม่ใช่ว่ามีความสุขเอาความสุข ไปแบ่งให้เขาได้
รับประทานข้าวแทนกันให้อิ่มแทนกันไม่ได้
แม้ใช้เงินแทนกันได้จริง แต่ทุกสิ่งก็ต้องใช้หนี้ เป็นกฎแห่งกรรม
ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย

ถ้ามีพระประจำใจ จะเห็นด้วยปัญญาทั้งหมด
จะไม่เห็นความชั่วของใคร
ถ้าหากว่าเขาจะชั่วร้ายสามานย์อย่างไร ก็เห็นแต่ความดี
มีแต่เมตตาปรานีเท่านั้น มองคนในแง่ดีเสมอ
บางคนจิตไม่เป็นพระ ใจเป็นอกุศลกรรม
เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวแล้ว
จะมองคนในแง่ร้ายหมด ตัวดีคนเดียว คนอื่นเสียหมด
จะออกมาในรูปแบบนี้ เป็นบาปกรรมติดตัวไปในอนาคต
และสัมปรายภพในเบื้องหน้าต่อไป

ถ้าท่านโกรธใคร ไม่พอใจ เรียกว่า ความไม่สบายใจ
โกรธฝากไว้ในใจเป็นบาปแล้วไม่เป็นคุณประโยชน์แต่ประการใด
ถ้าท่านอารมณ์ค้าง มันจะติดขัดไปหมด
เราต้องกำหนดจิตให้มันหายโกรธก่อน
อย่าให้มีอารมณ์ค้างติดตัวไป ค้าขายก็ขาดทุน
เรื่องที่จะตกลงแล้วก็เป็นอันยกเลิก
เรื่องจริงยกตัวอย่างให้ฟัง มีสองสามีภรรยากลางคืนทะเลาะกัน
ภรรยาหึงหวงสามีว่า จะไปหาผู้หญิงคนใหม่ ตบตีกัน
บ้านเขาใหญ่โตอย่างกับวัดกับวัง
พรุ่งนี้นัดจะตกลงเซ็นสัญญารับเงิน 12 ล้านบาท
ภรรยาไปเจรจาคนเดียว สามีไม่ไปตามนัด
เพราะต้องเซ็นสัญญาคู่กัน เลยพลาดโอกาสทางธุรกิจ
เขายอมให้ริบมัดจำล้านเศษ
รายนี้อาตมารู้จักกันดีไม่ขอออกชื่อเขา มาวัดอัมพวันบ่อย
เคยเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน แต่ไม่ได้สนใจกรรมฐาน
มาสนใจเรื่องอื่น นี่แหละใกล้เกลือกินด่าง
สัปเหร่ออยู่ใกล้ผี ชีอยู่ใกล้พระ แบบนั้นแหละ
ขอตีความให้ฟัง ไม่ได้ผลได้ประโยชน์ประสิทธิผลแต่ประการใด
นี่เห็นไหม อารมณ์ค้างเสียหายมากขัดข้องทางเทคนิค
ฝ่ายที่จะตกลงซื้อเขาว่าบ้านี้เป็นอย่างไรทะเลาะกันบ่อย
เขารำคาญ จึงไม่ยอมตกลงทำให้เกิดความเสียหาย
ไม่เกิดผลดีแต่ประการใด

ถ้าท่านอารมณ์ไม่ดี จิตใจเป็นอกุศล เป็นบาปกรรม
ท่านแผ่ทุกข์ไปให้ลูกเป็นทุกข์ไปหมดเลยนะ
เอาทุกข์มาแผ่ให้พ่อแม่ พ่อแม่ก็มีแต่ความทุกข์
หาความสุขไม่ได้เลย อย่างนี้เป็นต้น
วันนี้มาหาที่กุฏิลูกไม่เลี้ยงพ่อแม่เลย
นั่นเป็นกรรมของแม่นะ ลูกไม่เอาใจใส่เลย
ลูกก็ใช้แม้เลี้ยงหลานให้เฝ้าบ้านแล้ว
แม่ก็ไม่สบายโทรศัพท์มาให้แม่ไปเลี้ยงหลานที่สหรัฐอเมริกาต่อไป
ทั้งที่แม่ก็เป็นอัมพาต นี่ขอฝากไว้อย่าลืมนะ
กรรมตามสนองแน่ๆ ท่านจะเอาอะไรมาเป็นหลัก
ตอนที่ท่านดีๆ นั้น ท่านก็ยังไม่รู้
ท่านไปประสบทุกข์ขึ้นมา ท่านจะรู้ได้
ได้แต่บนกับผีดีกับพระ เวลาดีๆ ก็ไม่เคยนึกถึงพระ
พระในที่นี้ไม่ต้องมาคิดถึงอาตมาหรอกว่าเป็นพระ
คิดถึงตัวท่านให้มาก เอาพระมาไว้ประจำใจ
จะได้มีที่พึ่งทางใจติดตัวไป คือ รัตนตรัย
พระมาเกิดแล้วนั้นช่วยตัวเองได้ เอาพระมาไว้ในใจ

บางคนมาบ่นให้ฟังบอกว่า หลวงพ่อคะ ลำบากจังเลย
ร่างกายก็ไม่ดี ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ อันนี้เพราะทำไม่จริง
ต้องตั้งสติทำซิ จะได้รู้ว่างานนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ
ควรไปหรือไม่ควรไป ควรจะเว้นหรือไม่เว้น ควรจะละหรือไม่ละ
มันจะบอกเอง ถ้าขาดทุนไปมากมายก่ายกองแล้ว
ท่านจะช่วยใคร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้แล้ว นี่แหละกรรมฐาน

ทำสิ่งใดขอให้ทำจริง ของดีอยู่ที่ตัวเราทุกคนแล้ว
อย่าไปเอาของชั่วเลย
คนที่เสียสัจจะวาจาที่รับกรรมฐานจะทำมาหากินไม่ขึ้น
คนที่ดี สัจจังเว อมตวาจา มีวาจาสัตย์
วาจาก็ศักดิ์สิทธิ์ พูดเงินไหลนองทองไหลมา
ถ้าทำได้ก็ขออนุโมทนา ออกไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
อย่าไปก่อเวรก่อกรรม
จงชนะด้วยการอย่าไปจองเวรจองกรรม
เอาชนะท่านผู้ใดอีกต่อไปเลย
โปรดจงแผ่เมตตาสร้างความดีในกรรมฐาน
เอาศัตรูมาเป็นมิตรเป็นคู่คิดกับเรา
มารณรงค์ความคิด มาผูกมิตรด้วยคุณธรรม
เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อไป

คัดลอกจาก...
http://www.jarun.org


เครดิต ::


กรรมฐานแก้กรรม....อย่างไร ?

ทำไม ท.เลียงพิบูลย์ จึงเชื่อ กฎแห่งกรรม
จากคำเล่าของ หลวงพ่อจรัญ แห่ง วัดอัมพวัน

นอก เหนือจากการเจริญกุศลภาวนาแก้ไขปัญหาแล้ว จงแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร หนักจะกลายเป็นเบา บางคนบ้านจะต้องถูกไฟไหม้ แต่แล้วเพียงแต่ขโมยลักของไปเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเรามีการแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตาไม่ได้ เจ้ากรรมติดตามต่อไป และบุญก็ไม่สร้างกุศลก็ไม่ทำ รับรองท่านไฟไหม้บ้านแน่ๆ นี่เหตุผลมันมีมาแล้วหลายเรื่อง ที่อาตมาจับได้เป็นกฎแห่งกรรม

ขอฝากพี่น้องไว้ ทางสายเอกอยู่ตรงนี้นะ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ก็หาความปลอดภัยไม่ได้ รีบเตรียมหาอาวุธติดตัวท่านไปให้จงได้ คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร แก้ไขปัญหาได้ เอาไปเถิด ท่านจะประเสริฐในอนาคต

เดี๋ยวสติก็จะบอก ว่า ขึ้นรถไฟก็ต้องตกราง ไปรถคันนี้มันก็ต้องคว่ำ นี่ทางสายเอกนะ สายเอกอยู่ที่จิตนี่คือกรรมฐานที่ปฏิบัติได้ รับรองจะเลี่ยงทางได้ถูกต้องว่ารถจะชนกัน ตอนนี้เราจะได้เลี่ยงทางไปอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องคนช่วยได้นะ ผียังช่วยได้ อาตมาประสบมา

ท. เลียงพิบูลย์ ตอนสมัยอายุ ๓๖ ปี ท่านยังหนุ่มอยู่ มาคุยกับอาตมาเสมอ บอกว่า “ หลวงพ่อครับ ผมเองประสบมา ผมไม่เชื่อกฎแห่งกรรมเลยนะ ไม่เชื่อผี ไม่เชื่อปีศาจราชฑูต แต่ผมเจริญกุศลภาวนาแล้ว พอจะเชื่อกฎแห่งกรรมบ้าง ผีช่วยได้ “

สมัย ก่อนนานมาแล้ว ประมาณ 37-38 ปี มีเด็กสาวคนเหนึ่งเรียนธรรมศาสตร์ ผิดหวังเรื่องแฟน เรื่องสอบ เดินทางโดยรถไฟไปพักที่ลำพูน กินยาตายในห้องพักโรงแรมเขียนหนังสือบอกไว้ พ่อแม่ทราบก็มารับศพลูกไปบำเพ็ญกุศล

เขาบอกว่าจะกระโดดตรงถ้ำขุนตาล พวกการ์ดรถมาดึงไว้ทัน เลยมาพักที่โรงแรม กินยาตาย ด้วยอำนาจจิตเป็นอกุศล ต้องเป็นอสุรกายตรงนั้น

ตัวอย่าง เช่น ค่ายบางระจันนี่ รบทัพจับศึกตาย ต้องเป็นอสุรกายดุร้ายมาก เดี๋ยวนี้เลิกดุแล้ว ถวายพระราชกุศลไปแล้ว สร้างวัดขึ้น พวกนั้นก็ไปหมดแล้ว ไม่มีการดุ ไม่มีการเฮี้ยน เหมือนเมื่อก่อน บางคนไม่มีความเข้าในเรื่องนี้

ท. เลียงพิบูลย์เล่าว่า “ ผมไปทำธุรกิจทางภาคเหนือ ก็ถามหาห้องพักในโรงแรม “ บ๋อยบอกว่า “ ลุงพักห้องนี้ไหมไม่เอาตังค์ “ ท.เลียงพิบูลย์ ก็ถามว่า “ ห้องไม่ดี ไม่มีที่นอนหรือไง “ เขาบอกว่า “ เหมือนกันหมด มีของบริเวรเหมือนกันหมดแต่ไม่เอาตังค์ “ แล้วก็ไม่บอกว่ากระไร

ท. เลียงพิบูลย์ เป็นผู้มีปัญญา ก็คิดว่า เอ! ถ้าจะผีดุ นึกไว้ในใจแล้วก็บอกว่า “ ตกลงลุงพักห้องนี้จะให้เท่าราคาเลย “ ท.เลียงพิบูลย์ก็ไปพัก ดูสะอาดสะอ้านดี

เข้าพักสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ แล้วก็นอน ตี ๑ ออกมาแล้ว แต่ ท.เลียงพิบูลย์มีกรรมฐานสูง ไม่กลัว ลุกนั่งไฟฟ้ายังสว่าง ก็นั่งดูเฉยๆ กำหนดแผ่เมตตาพระกรรมฐานแผ่เมตตาไป ย่อลงไปเป็นสาวสวยยกมือไหว้ เห็นไหมนี่อำนาจกรรมฐานทางสายเอก

เขาร้องไห้แล้วบอกว่า “ คุณน้าคะ หนูมาอยู่ห้องนี้นานแล้ว “
ท.เลียงพิบูลย์ ก็ถามว่า “ เออ! หนูเป็นใคร “
“ หนูมากินยาตายที่ห้องนี้ ถ้วยยังอยู่ใต้ถุนเตียงเขาไม่เก็บ “
“ มีเหตุประการใด เล่าให้น้าฟังซิ “ เขาบอกว่าเรียนธรรมศาสตร์ผิดหวังเรื่องแฟน
เรื่องแฟนๆ นี้เล่าให้เด็กหญิงฟังกันบ้างนะ อย่าสนใจเลยนะ ไปรักเขาข้างเดียวทำไม สอนเด็กๆ ไว้บ้างนะ
ท.เลียงพิบูลย์ก็บอกว่า “ หนูทำอะไรเช่นนั้น “
“ หนูผิดไปแล้ว แก้ไม่ได้เสียแล้ว หนูจะกระโดดรถไฟที่ถ้ำขุนตาล แต่การ์ดรถเขามาดึงไว้ได้ เพราะมีตาแป๊ะแก่นั่งอยู่ตรงนั้น เขาไปบอกการ์ดรถว่า เด็กคนนี้จะโดดให้รถไฟทับการ์ดรถเลยรีบปิดประตูให้นั่ง เดี๋ยวจะเสียชื่อรถไฟ เลยคุมตัวไปลงสถานีตามตั๋วที่ตีไว้จนได้ “

แล้ว บอกต่อไปว่า “ ใครมาพักที่นี่ หนูก็บอกอย่างนี้ออกมาให้ช่วยถวายสังฆทาน แล้วแผ่เมตตาให้หน่อย แต่ไม่มีใครแผ่ได้เลย หนูขอกราบเท้าคุณน้า กรุณาช่วยหนูด้วยหนูขอขอบพระคุณ “

ท.เลียงพิบูลย์ บอกว่า “ จะให้น้าช่วยอย่างไร “ เขาบอกว่า “ ถ้าหากคุณน้านั่งกรรมฐาน แผ่เมตตาและถวายสังฆทานให้หนูแล้ว หนูจะไปจากที่นี่ได้ “ เวลากินยาตายเกิดโทสะเป็นอสุรกาย ไม่ใช่เปรตนะ

อย่างนี้ไม่ใช่เปรตดุ ร้าย เหมือนคนที่ถูกรถชนตายดุร้าย ทะเลาะกันมารถชนตาย เฝ้าถนนเลย ดุร้ายเป็นอสุรกายเช่นนี้ ไม่ใช่รถชนตายเป็นคนไม่ดี โดยฆ่าตายเป็นคนไม่ดี ....ไม่ใช่ โปรดทำความเข้าใจทุกคน อย่าเข้าใจผิด แต่แล้วไม่มีใครแผ่เมตตาได้ มาพักก็ไม่รู้จักทำบุญกัน

อุทิศส่วน กุศลด้วยการเจริญกรรมฐานดีที่สุด ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายพระก็ยังได้ ขอให้สวนมนต์พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา เสร็จแล้วสวดมนต์อะไรก็ได้แล้วเจริญกุศล ใช้สติปัฏฐาน ๔ ใช้ทางสายเอกขึ้นมาแล้วรวมทุนบุญกุศลแผ่ให้คนนั้น ให้เปรต ให้อสุรกาย ให้มีความสุขความเจริญดังที่กล่าวมาแล้วฉะนั้น ได้ผลแน่

ท.เลียง พิบูลย์ บอกว่า “ เอาละหลาน น้าจะช่วยจัดการให้ “ เขาขอกราบเท้าเลย และบอกว่า “ ขอบพระคุณคุณน้ามาก “ หนูจะได้ไปจากที่นี่เสียที ท.เลียงพิบูลย์บอกว่า พอกราบเท้าเสร็จแล้วขอบพระคุณแล้วนั่งยิ้ม รูปค่อยๆ จากหายไป

ท.เลียงพิบูลย์ก็ตั้งสติไม่เคยกลัว นักกรรมฐานไม่มีกลัว มีสติมีทางสายเอกไม่กลัวใคร กล้าทำความดี จึงได้เรียกว่า กรรมฐานทางสายเอก ไม่กล้าทำความดี กลัวคนโน้น กลัวคนนี้ ไม่ใช่ทางสายเอกนะ เป็นทางสายจัตวา

หลังจากนั้น ท.เลียงพิบูลย์ก็เริ่มสวดมนต์ ธูปเทียนก็ไม่มี ก่อนสวดมนต์ก็เข้าไปอาบน้ำใหม่ อาบน้ำให้สะอาดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว มีเสื้อขาวอยู่ ๓ ตัว กางเกงขาว ๑ ตัว ติดกระเป๋าไป ก็เอาเสื้อขาว กางเกงขาวมานุ่ง เริ่มสวดมนต์ทำวัตร แล้วสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เรียบร้อยแล้วนั่งเจริญกรรมฐานประมาณ ๑๕ นาทีขอแผ่เมตตาให้เด็กสาวคนนี้ นึกให้เห็นมโนภาพออกมา แล้วบอกว่าขอหนูจงมีความสุขความเจริญ ขอเจ้าจงไปสู่สุคติเถิดด้วยอำนาจกรรมฐานเป็นได้ทันทีชั่วพริบตาเดียว

พอ ตี ๕ ท.เลียงพิบูลย์ ก็อาบน้ำแต่งตัวใหม่ เปลี่ยนชุดขาวออกเดินลงจากโรงแรม พวกโรงแรมถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท.เลียงพิบูลย์บอกว่าไม่เห็นเป็นอะไร แต่ไม่เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แล้วก็เดินทางไปตลาด ไปซื้อปิ่นโต ๒ เถา ใส่อาหารคาว ๑ เถา หวาน ๑ เถา เข้าไปในวัด ไปบอกหลวงตาองค์หนึ่ง บอกว่า จะถวายสังฆทานอุทิศให้คนตาย แต่ก็ไม่ได้บอกว่าใคร พระท่านรับสังฆทาน รับศีลเสร็จ

สังฆทานต้องรับศีล จำไว้นะ ต้องรับศีลด้วย ไม่ใช่ประเคนแล้วเป็นสังฆทาน เดี๋ยวนี้สังฆทานเวียนกันอีกต้องใช้ของจริงซิ ใช้เงินผิดประเภทได้หรือ รับราชการก็ถูกถอดนะใช้เงินผิดประเภทได้หรือ โกหกนะ เขาบอกให้ใช้ตรงนี้ กลับไปใช้ตรงโน้น

ไม่ใช่เงินวัด เราขอยืมก่อนได้ ของวัดนี่ไม่เป็นไรนี่เงินสร้างส้วม เขาจะซื้อขัน ขอยืมไปก่อน แต่พรุ่งนี้นำมาให้ได้ เอามาแทนเสียไม่มีปัญหา

แต่ ราชการไม่ได้นะ ถ้าใครฟ้องถูกถอดเลยนะ ทางการเขาหาว่าใช้เงินผิดประเภท เอาออกเลย จะเป็นซี ๗ ซี ๘ ก็ตาม แม้แต่ค่าเช่าบ้านทางราชการ ตัวเองไม่ได้เช่า แต่อยู่กับเพื่อน เพื่อนไม่เอาเงิน แล้วทำบัญชีว่าเช่าเพื่อนพรรคพวกจับได้ ขนาดจะย้ายไปเป็นอธิบดียังโดนออกเลยไม่ได้โกงนะ แต่ต้องออกตามกฎหมายกำหนดไว้ นี่ไม่มีทางสายเอกอีกเช่นเดียวกัน

เช้า นั้น ท.เลียงพิบูลย์ถวายสังฆทานเสร็จแล้วลางคืนอยู่อีกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นถึงจะไปเชียงใหม่ต่อไป ตี ๑ ออกมาอีกแล้ว แต่งตัวสวย มีผ้าขาวกราบไหว้ ท.เลียงพิบูลย์อย่างสวยงาม กล่าวว่า
“ หนูมาขอกราบขอบพระคุณและขอกราบลา หนูจะไปแล้ว มีทางไปแล้ว หนูก็ทำบุญวาสนามามาแต่ต้องไปรับกรรมในป่าอีกชั่วคราว หนูซาบซึ้งใจมากที่คุณน้าช่วยหนูออกมาจากนรกในวันนี้ “

กรรมฐานนี่ แผ่ได้เลย ถ้ามีญาติพี่น้องฆ่าตัวตาย มีทางเดียวที่จะแผ่เมตตาให้คือกรรมฐาน ถ้าทำบุญให้ไม่ถึงผูกคอตาย ยิงตัวตาย ทำบุญให้ไม่ถึง มีตำราอยู่ที่นี่หลายเล่ม ขอฝากพี่น้องที่มาทำกรรมฐานที่นี่ทุกคน โปรดจำทางสายเอกไว้ให้ดี มันเอกจริงๆ ไม่มีจัตวา ไม่มีชั้นตรีเลย ตรงไปตรงมาแน่ๆ พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ชัดเจน

เด็กสาวคนนั้นก็บอกว่า “ หนูจะไม่ลืมพระคุณ หนูจะตามช่วยคุณน้าต่อไป “
ท.เลียงพิบูลย์บอกว่า “ ไม่ต้องหรอก น้าจะไปเรื่องธุรกิจการค้าที่เชียงใหม่ “
นี่เห็นไหมนี่ ไม่หวังผลตอบแทน คนทางสายเอกไม่หวังผลตอบแทนกับใครนะ ทำอะไรฟรี ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย
เลี้ยง ลูกอย่าหวังผลตอบแทนจากลูกนะ ถ้าหวังผลตอบแทนจากลูกจะเสียใจ รักลูกคนนี้มาก เอาใจใส่มากไม่ได้พึ่งเลย จะเสียใจ แต่ลูกที่เกลียดกลับมาอาศัยได้ ดังที่กล่าวนี้ นี่เหตุผลกฎแห่งกรรม ฝากไว้ในวันนี้ วันนี้วันพระ

ต่อจากนั้น ท.เลียงพิบูลย์ก็เดินทางไปเชียงใหม่ ทำธุรกิจเสร็จแล้ว ไปตีตั๋วรถยนต์ผ่านทางอ.เถิน ทางยังไม่ดี สมัยก่อนนี้ต้องผ่านเขา ตีตั๋วตอนเย็นๆ รถออกพรุ่งนี้เช้าจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ ตอนนั้นมีรถแดง หลังคาต่ำๆ รถบัสยังไม่มี
พอกลางคือ ตี ๑ ออกมาอีกแล้ว สวยกว่าเก่าอีก ท.เลียงพิบูลย์จำไม่ได้ บอกตรงนี้มีอีกแล้วหรือนี่ เฮ้อ ! สวยกว่าเก่านี่ สวยจริงๆ และถามว่า
“ หนูมาทำไมอีกหล่ะ “
“ หนูจะมาช่วยคุณน้า “
“ ช่วยอะไร ไม่ต้องช่วยจ๊ะ “
“ ไม่ใช่ค่ะ เชื่อหนูหน่อยได้ไหมคะ พรุ่งนี้อย่าไป “
“ อ้าว ! ตีตั๋วแล้ว “
“ นี่คุณน้าไปดูหน้าโชเฟอร์ ถ้ามีแผลเป็นตรงนี้ แล้วใส่หมวก อย่าไปนะ หนูต้องรีบไปแล้ว หนูขอกราบลาคุณน้าเชื่อหนูนะคะ “ เลยกราบ แล้วก็หายวับไปกับตา
ท.เลียงพิบูลย์ก็ไปคืนตั๋ว ผีมาบอกจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมรับคืน เขาบอกว่า คืนไม่ได้เสียที่นั่ง

ท.เลียง พิบูลย์ก็กลุ้มใจ กลับมาที่โรงแรม ตอนบ่ายได้ข่าวแล้ว รถไฟตกเขาที่อำเภอเถิน ลงไปเลย ตายหมด ๓๐ ศพ คนที่มีแผลเป็นตายคาที่ โชเฟอร์ถูกอัดกระเด็นไม่ได้ชนกับใคร ลงเขาเอง มีคนเขาร่ำลือกันและมาบอกว่า “ คุณน้าครับ รถที่คุณน้าจะไปน่ะ คว่ำไปแล้วตาย ๔๐ ศพ เหลือบ้างก็กะร่องกะแร่งไป ไ
เลย ท.เลียงพิบูลย์ กลับมาโรงแรมแต่งตัวใหม่ นุ่งชุดขาวสวนมนต์นึกในใจว่า แหม! หนูเอ๋ย ถ้าน้าไม่เชื่อคงเหลือแต่กระดูกแล้ว และสวดมนต์ให้เด็กคนนั้นอีก ขอฝากไว้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

ฉะนั้น ยืนหนอให้ได้ ยืนหนอ ๕ ครั้งนี่ ยืนเอามือไพล่หลัง จับมือไว้ ถ้าเมื่อยจะเลื่อนขึ้นสูงก็ได้ ทำไมถึงเอาไว้ข้างหลัง คนหนึ่งเป็นโรคปอด คนหนึ่งเป็นโรคหืด เป็นโรคหัวใจ เอามือไว้ข้างหน้า เดินไปนานๆ รัดหน้าอก เลยหายใจไม่ออก เป็นลมหวิวไป

เอา ไว้ข้างหลัง มือขวาจับมือซ้าย เดินไปมันจะปวดหัวไหล่ ปวดก็ให้กำหนด มันจะกดกระเบนเหน็บ จะไม่เป็นโรคไต ไม่ใช่เดิน ๑๐ นาทีนะ เดินเป็นชั่วโมงซิแล้วถึงจะรู้หลังจะได้ไม่งอด้วย มีประโยชน์ด้วย บริหารลมหายใจได้ดีด้วยขอฝากไว้ ผู้ทำกรรมฐานโปรดทำตามนี้

เอามือมา ข้างหน้าบ้างได้ไหม ก็เป็นบางครั้ง หนักๆ ก็เอาลงไปให้ตรงกับกระเบนเหน็บ ส่วนมากเราจะปวดสันหลังกัน ถ้าโยมผู้ชายปวดหลังมากๆ นะ อย่าลืมโรคไตมาแล้ว กษัยไตพิการ ยิ่งอั้นปัสสาวะมากๆ เข้า ไม่ช้าเป็นโรคไตนะ โรคไตไม่หายนะ ร้ายกว่ามะเร็งอีก

โรคไตวายล้างไตไม่พัก มันยังไม่มีทางหาย โรคมะเร็งยังมีทางหายกว่านะ ขอฝากไว้ด้วย อย่างนี้อีกประการหนึ่ง
ยืนตั้งสติไว้ให้ดี ยืน ....ถึงสะดือ หยุด ถอนหายใจพับรวมสติอยู่กับจิต หนอ .....ลงไปที่ปลายเท้าให้ได้ ทำให้มันได้ จังหวะ และสำรวมปลายเท้าด้วยการยืนหลับตา กว่าจะถึงเท้าถอนหายใจแย่ สะดือเป็นจุดสำคัญ

ขอให้ทำตามนี้ อย่าไปนอกคอก หลับตายืนหนอ ๕ ครั้ง ดูมโนภาพของเรา ถ้าสติตามจิตได้ทันแล้จะคล่องแคล่ว ถ้าสติตามจิตไม่ทันจะอึดอัด หายใจพอดี ยืน....ถอนหายใจ แล้วหนอ....อย่าเอาจิตไว้ที่จมูก อย่าเอาจิตไว้ที่ลมหายใจ ต้องอยู่ที่ตรงสะดือนี้ ถอนหายใจแล้วหนอ....ถึงปลายเท้าพอดีเลย

หลับ ตาใหม่ ตั้งสติตามจิต จากปลายเท้าถึงสะดือหยุด หนอ....ถึงกระหม่อมพอดี แล้วกำหนดยืน... หยุดดูซิสติจะตามจิตทันไหม ถ้าตามทัน จะคล่องว่องไวขึ้น และมีปัญญาขึ้น ส่วนมากว่าแต่ปาก จิตมันไม่ถึง สติตามไม่ได้ไม่ได้ผล จะไม่พบทางสายเอกนะ

พอครบ ๕ ครั้งแล้ว ลืมตาดูปลายเท้าขวา ...ยกนิดเดียว ย่าง..หนอ อย่าเพิ่งออกเดิน ทำหยาบๆ ไปหาละเอียด ไม่ใช่อยากเดิน อยากนั่ง แต่ก็ถูก ใหม่ ๆ ให้ทำอย่างนี้ก่อน จากหยาบไปหาละเอียด จากง่ายไปหายากไม่ใช่ยากที่สุด กำหนดหมดทุกอย่างแล้วไปหาง่ายๆ มันจะมากไป เอาอย่างนี้ไปใช้

เครดิต BlogGang.com : : Toad :

ปฏิบัติ 4 ข้อเพื่อไปพระนิพพาน คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง



ผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง

1. ระงับความพอใจในขันธ์ 5 เสีย คิดว่าร่างกาย
มันตายอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่ลืมความตาย เป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนารวมกัน

2. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ควรทำเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน
ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คือ ทรงอารมณ์อยู่ในศีล
ตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องทางใจ
ไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ให้ลืมตาทำงาน
คุยกับหมากับแมว หรือเจอะหน้าคนด่าคนนินทา
ศีลเราทรงตัวไม่หวั่นไหวใช้ได้
เป็นการตัดสังโยชน์ ข้อ 2 สีลัพตปรามาส

3. ตัดวิจิกิจฉา โดยการน้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย
ทั้ง 3 ประการ คือ ทรงพระกรรมฐาน 3 ให้เป็นฌาน
คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ให้ทรงตัว

4. ตัดสินใจทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานในชาตินี้
ไม่ต้องการเกิดเป็นคนรวยสวยแข็งแรง
ไม่ต้องการเกิดเป็นเทพ เทวดา พรหม
กำลังใจมุ่งพระนิพพานเป็นอุปสมานุสสติกรรมฐาน

การที่จะหลีกหนีบาปกรรมชั่วหรือนรกได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ทั้ง 4 ข้อนี้ หรือตัดสังโยชน์ 3 ประการได้ ท่านให้ชื่อว่าผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คือ พระโสดาบัน ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถถูกลงโทษได้แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะวนเวียนเฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ากำลังใจเต็มไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจเทวดาพรหมก็ไปนิพพาน

ที่มา http://www.palungjit.com/

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin