"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง




อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องที่สำคัญ
ถาม : เขาบอกว่าไม่ทำหวังผล

ตอบ: ในลักษณะนั้นก็ดีจ้ะ คือว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าลักษณะเหมือนกับการทำงาน ถึงเราต้องการหรือไม่ต้องการ ปลูกต้นไม้ลงไป ถึงเวลาดอกผลมันต้องออก พอถึงเวลาดอกผลมันออกมาไม่ดี คนปลูกบอกว่าไม่หวังผล แต่เห็นแล้วอาจจะไม่สบายใจไปเลยก็มี

เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไว้ว่าทำอะไร วัตถุที่เราตั้งใจจะทำ ได้มาโดยถูกต้อง ตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ผลมันเต็ม ๑๐๐ ส่วนอย่างนี้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดีๆ ดีกว่า พอถึงวาระถึงเวลา ผลที่ได้มามันก็ชื่นใจสมกับที่เรารอคอย

มีหลายคนที่คิดแบบนี้ อย่างเช่นว่าทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ แบบนี้มันต้องไปเกิดเป็นอานันทะเศรษฐี มันถึงจะเข็ด เขาจะไม่เข้าใจตรงจุดนี้เลย เพราะว่าอธิษฐานบารมีนี่เป็นบารมีที่สำคัญมาก ถ้าบุคคลที่สร้างบารมีมายังไม่ถึงตอนปลาย จะใช้อธิษฐานบารมี ไม่เป็นเลย ผลทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วที่เราทำไป ต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็เกิดผลแน่นอน ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันเลยใช่ไหม ว่าทุกอย่างที่ทำไปมันมีผล คราวนี้ถ้าหากว่าผลนั้นมันมาในจังหวะที่เราต้องการมันก็ดี ถ้ามันมาในจังหวะที่เราไม่ต้องการ เราก็จะแย่ไปเลย

อย่างเช่นว่า อานันทะเศรษฐี เคยเป็นมหาเศรษฐี แล้วก็รักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ไม่ได้ กลายเป็นคหบดี คือทรัพย์ลดน้อยลงมา จนในที่สุดกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าไปเจอขอทานอยู่หน้าประตูเมืองอาฬวี ท่านก็ยิ้ม พระอานนท์ถามว่าทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุใด ? พระพุทธเจ้าบอกอานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีมั้ย ? พระอานนท์บอกไม่เห็นเจ้าข้า เห็นมีแต่ขอทาน ท่านบอกขอทานนั่นแหละ คืออาฬวีเศรษฐี สมัยที่ท่านเป็นเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจากตถาคตจะได้เป็นพระอนาคามี ตอนที่ทรัพย์ลดลงมาเป็นคหบดี ถ้าฟังธรรมจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นขอทาน จิตมัวแต่หมกมุ่นกังวลอยู่กับการทำมาหากิน ถึงฟังธรรมไปก็ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผล คราวนี้พระอานนท์ท่านจำแม่น ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐี หรืออานันทะเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทะเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี

อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไรๆ ให้มันถูกเป้าแน่อนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสมันจะถูกมันก็น้อย เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เพื่อที่มันจะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่าทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ที่มา board.palungjit.com

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝรั่งที่ได้อภิญญาชัดที่สุดในยุคปัจจุบัน



ถาม : แล้วอย่างเดวิด คอปเปอร์ฟิลล์ ที่ตัดตัวเองขาเดินไปก่อนแล้วตัวตาม...สุดยอด !

ตอบ : จะตัดอีกกี่ท่อนเขาก็เดินได้ ของเขานั้นไม่ใช่เล่นกลนะ นั่นของจริงเลย แต่ว่าคนทั่วๆ ไปคิดว่าเป็นการเล่นกล การเล่นกลต้องอาศัยแสง สี เหลี่ยม มุม อะไรต่างๆ แล้วก็ระยะเวลา เพื่อที่จะบังตาให้คนเห็นตามที่เขาต้องการ แต่ของเขาจะให้เห็นอย่างไรเมื่อไรก็ได้

ถาม : เขาทำได้อย่างไรคะ ?

ตอบ : ก็ใช้อภิญญา เขาบอกว่าเขาฝึกกับพระมา เพราะฉะนั้นฝรั่งที่ได้อภิญญาชัดที่สุดก็ต้องคอปเปอร์ฟิลล์นั่นแหละ

ถาม : เราจะทำได้อย่างนั้นไหมคะ ?

ตอบ : ได้จ้ะ ถ้าทำกสิณ ๑๐ ทำได้เก่งกว่าเขาอีก

ถาม : เขาได้กองไหนครับถึงได้เก่งขนาดนี้ ?

ตอบ : ต้องถามเขาเองจ้ะ

ถาม : ความจริงถ้าได้ก็เปิดแสดง ...(หัวเราะ)...

ตอบ : เล่นได้เลย คนเขาก็จะคิดว่าเป็นเล่นกลเหมือนกัน..ใช่ไหม ? อย่างเช่นว่าใช้นีลกสิณอย่างนี้ พอถึงเวลาก็เอาผ้าคลุมเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตเอาไว้สักลำหนึ่ง อธิษฐานนีลกสิณว่าให้มืดมองไม่เห็นแล้วก็ดึงผ้าออก เท่านี้ก็หายไปแล้ว

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔
ที่มา board.palungjit.com

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลักษณะอาการของการมองเห็นเมื่อฝึกมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ)




ลักษณะของการมองเห็นเมื่อฝึกมโนมยิทธิ
 
ถาม : ตอนเที่ยงผมไปฝึกมโนมยิทธิ ปรากฏว่าผมไม่เห็นอะไร เลยไม่แน่ใจว่าผมทำอารมณ์ไม่ถูกอย่างไร ?

ตอบ : ถ้าเห็นก็ประหลาด ต้องไม่เห็น ถ้าคุณคิดว่าเห็นก็บ้า...!

ถาม : แล้วต้องทำอย่างไร ?

ตอบ : การฝึกมโนมยิทธิ อย่าลืมคำว่า “มโน” คือห้วงนึกคือความคิดของเรา ไม่ใช่ตาเห็น ถ้าเราคิดว่าเป็นตาเห็นก็ผิดตั้งแต่ยกแรกแล้ว หลับตาอยู่จะไปเห็นอะไร

คราว นี้ถามว่าแล้วเราเห็นลักษณะไหน ? เราเห็นลักษณะนึกถึงคน นึกถึงของ นึกถึงบ้าน ชัดไหมล่ะ ? แล้วใช่ลูกตาเห็นไหมล่ะ ? ไม่ใช่หรอก นั่นแหละมโน เขาเห็นกันอย่างนั้น คราวนี้แรกๆ หากว่าสภาพจิตยังไม่สงบ ภาพจะไม่ปรากฎ ภาพไม่ปรากฎจะเป็นแค่ความรู้สึกในใจเท่านั้น รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ รู้สึกว่าต้องอย่างนั้น รู้สึกว่าต้องอย่างนี้ ความรู้สึกอันแรกที่เกิดมามันใช่ จะถูกต้อง ขอให้น้อมใจเชื่อตามนั้น ถ้าเปรียบไปแล้วจะเหมือนคนๆ หนึ่งอยู่ในห้องมืดๆ แล้วเขาส่งของมาให้ชิ้นหนึ่ง เช่น เครื่องคิดเลข เราจับๆ คลำๆ ลูบๆ พักหนึ่ง เราก็ตอบได้ว่าเป็นเครื่องคิดเลข แต่ถ้าเราซ้อมบ่อยๆ จนกระทั่งเคยชิน พอแตะปุ๊บ ก็บอกได้เลยว่าเป็นเครื่องคิดเลข อย่างนี้เป็นต้น

คราวนี้พอเราซ้อมอยู่บ่อยๆ โดยยอมเชื่อความรู้สึกแรก จนกระทั่งจับจุดได้ว่าความรู้สึกอย่างไรถึงจะถูกต้อง พอเกิดความมั่นใจแล้วสภาพจิตจะนิ่ง คราวนี้ภาพจะเกิด พอภาพเกิดปุ๊บ โดยสัญชาตญาณเราก็ไปเพ่งมัน อยากจะเห็นให้ชัด บอกแล้วว่าไม่ใช่ตาเห็น จิตเราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราถึงจะเห็นภาพได้ การที่เรานึกถึงตา คือนึกถึงตัว คือการดึงจิตกลับมา ภาพจะหายไป เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว จะไปเห็นอะไรอีก พอถึงเวลาภาพหายไป ตั้งใจภาวนา พอกำลังใจไปถึงจุดนั้นก็เห็นอีก จะเป็นๆ หายๆ อย่างนี้ บางคนเป็นอยู่ ๑๐ ปี ก็มี ประสาทจะกลับก็มี แค่เราทำใจว่า

ก่อนหน้านี้แค่ความรู้สึกก็ถูกต้องอยู่แล้ว การเห็นภาพไม่จำเป็นต้องมีสำหรับเราก็ได้ จะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง เราจะไม่ใส่ใจอีก ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้ได้ ภาพจะเกิดขึ้นและปรากฏอยู่นาน

หลักการที่สอง ทำให้ได้อย่างที่ครูฝึกเขาบอก จะต้องมีการพิจารณาตัดร่างกาย อย่าให้จิตเกาะร่างกายนี้ อย่าให้จิตเกาะโลกนี้ เพราะถ้าจิตเกาะยึดเกาะร่างกายนี้หรือโลกนี้ มันจะไม่ไปไหน มันห่วงร่างกาย มันห่วงโลก แต่ถ้าเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่อยากได้จริงๆ จิตจะไม่ห่วง จะไปได้ง่าย แล้วจะเห็นภาพได้ชัดเจนแจ่มใสด้วย

ถาม : แล้วต้องนึกถึงพระ (ไม่ชัด)

ตอบ : สมควรที่สุดที่จะทำอย่างนั้น กำลังใจของเราไม่มีอะไรกั้นได้ นึกถึงบ้านตอนนี้ ถ้าคนได้อภิญญา เขาเห็นเราอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ ไม่ต้องขับรถเอง แค่นึกก็ถึงแล้ว ระยะทางของโลกถึงดวงอาทิตย์ ๙๓ ล้านไมล์ แสงเดินทางด้วยความเร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์/วินาที ใช้เวลาประมาณ ๘ นาทีมาถึงโลกเรา แต่ถ้าเรานึกถึงดวงอาทิตย์แค่ไม่ถึง ๑/๑๐ ของวินาที จิตเราอยู่ที่นั่นแล้ว

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเรานึกถึงจุดไหนก็ตาม จิตจะไปปรากฏอยู่ตรงจุดนั้น คราวนี้เรานึกถึงบ้าน จิตจะไปปรากฏอยู่ที่บ้าน เห็นบ้านสภาพบ้านชัดเจน ลักษณะบ้านเป็นอย่างไร ประตูอยู่ตรงไหน ห้องน้ำอยู่ตรงไหน ห้องนอนอยู่ตรงไหน รู้หมด อันนั้นเกิดจากเราเคยชินกับมัน คราวนี้ไปเทวดา ไปพรหม ไปนิพพาน เราจะไม่เคยชินกับสถานที่ละเอียดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อความรู้สึกแรก รู้สึกว่าอย่างไร ถ้าครูฝึกถามให้ตอบไปตามนั้น ไม่จำเป็นต้องเห็น ทำตามขั้นนี้ไปก่อน

ถาม : ถ้าทำเองที่บ้าน ?

ตอบ : ซ้อมบ่อยๆ คุณใช้วิธีอย่างนี้ พอถึงเวลาคุณกราบพระเสร็จ ก็ตั้งใจขอบารมีท่านว่าเราจะฝึกมโนมยิทธิ ขอให้ทำได้ชัดเจนแจ่มใส และคล่องตัวด้วย แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดของคุณให้อยู่ตรงหน้าคุณ เหมือนกับว่าเป็นคนๆ หนึ่งอยู่ตรงหน้า จะเล็กจะใหญ่อยู่ที่เราถนัด เอาตัวเล็กตัวใหญ่แค่ไหนก็ได้ แล้วก็บอกให้เดินหน้า บอกให้ถอยหลัง บอกให้หันซ้าย บอกให้หันขวา ทำอย่างกับหัดแถวทหารอย่างนั้นแหละ บังคับให้ชิน

พอหันขวาเราก็รู้สึกว่าหันตาม หันซ้ายเราก็หันตาม เดินหน้าเราก็เดินตาม ถอยหลังเราก็ถอยตาม ความรู้สึกของเราทั้งหมดให้อยู่กับตัวนี้ พอชินแล้ว ค่อยๆ ทำนะ เดินวนรอบตัวก็ได้ วนช้าๆ เพราะว่าถ้าความรู้สึกคล่อง แป๊บเดียวจะครบรอบเลย บอกให้เปิดประตู บอกให้ออกนอกบ้าน บอกให้ ค่อยๆ เดินวนรอบบ้าน ทำตัวเป็นยามไปเลย ค่อยๆ ดูไปทีละจุด เปิด ประตูใหญ่ เดินออกไปในซอย ค่อยๆ ไปปากซอย คราวนี้ความรู้สึกของ เราที่ค่อยๆ ไป แรกๆ จะชัดเจน เพราะว่าสถานที่ต่างๆ เราคุ้นเคยดี

แต่คราวนี้พอไกลออกไปๆ เป็นปากซอย ความคุ้นเคยน้อยแล้ว พอไปถึง จุดที่เราไม่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกยังปรากฏชัดอยู่ อาจจะตรงนี้ร้านขายยา ตรงนี้วินมอเตอร์ไซค์ตรงนี้เป็นเซเว่น อีเลฟเว่น จดเอาไว้ แล้วถึงเวลา รุ่งเช้าเดินไปดูว่าตรงไหม? ซ้อมอย่างนี้ทุกวันๆ แล้วจะคล่องตัวมาก ต่อไปถ้าจะไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพานอย่างไร? ก็แค่นึกถึงสวรรค์ นึกถึง พรหม นึกถึงนิพพาน จะไปถึงเลย ทำอย่างนี้ทุกวัน ซ้อมบ่อยๆ ถ้าไม่ ซ้อมสนิมขึ้น

ถาม : เวลาซ้อมนั่งหลับตา นึกว่ามีตัวเรา?

ตอบ : ใช่ นั่นแหละ แล้วก็บังคับตัวนั่นแหละ ให้ค่อยๆ ไปเปิดประตู เปิดหน้าต่างทีละบาน เดินวนรอบบ้าน อะไรก็ได้ กวาดขยะ อะไรก็ได้ทำ ไปเลย ไม่มีใครว่า ทำอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะคล่องตัว พอคล่องตัวจากสิ่งที่เราเคยชิน ค่อยๆ ไปสู่สิ่งที่เราไม่เคยชิน แล้วก็พยายามจดจำ ไว้ว่าเป็นอย่างไร? ถึงเวลาเราก็ไปดูเพื่อเป็นการพิสูจน์ จะได้รู้ว่าเรารู้จริง ไหม? เห็นจริงไหม? อย่าลืมนะไม่ได้เห็นด้วยตา ใช้ตาเมื่อไหร่เจ๊งเมื่อนั้นเลย

ถาม : อย่างวันนี้ที่ผมฝึกนี่ ครูฝึกเขาบอกว่าทั้งหมดตอนนี้ไปอยู่ข้างบนแล้ว อยู่ในแดนพระนิพพาน แสดงว่าจริงๆ นี่ไปได้จริงๆ

ตอบ : ถ้าเราคิดถึงตรงไหน จะไปถึงตรงนั้นเลย เพียงแต่ว่าเราเองจะรับรู้ได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง บอกแล้วว่าไม่มีอะไรกั้นจิตได้ จิตคิดถึงตรงไหน จะไปถึงตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย ขั้นตอนการใช้ร่างกายทำไม่เกี่ยวกับจิตเลย บอกแล้วไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได ไม่ต้องขับรถ ไม่ต้องขึ้นรถอะไร ทั้งนั้น แค่นึกก็ถึงแล้ว

ถาม : แต่ในความรู้สึกสัมผัสของเรา มันไม่ถึง

ตอบ : คราวนี้สำคัญตรงขยันซ้อม ต้องขยันซ้อม ทำบ่อยๆ ทำทุกวัน ซ้อมทุกวัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ก่อน จะไปทำงานกำหนดใจสบายๆ นึกเลย วันนี้เราไปถึงที่ทำงานจะเจอใครก่อน คนๆ นั้นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร แล้วก็จดไว้ พอถึงเวลาก็ไปดู ถ้า หากผิดก็ไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าถูกพยายามนึกให้ได้ว่าเราทำกำลังใจอย่างไร? แล้วก็จำกำลังใจช่วงนั้น แล้วใช้ช่วงนั้นบ่อยๆ จะคล่องตัวมาก อาตมาเองซ้อมบ่อย จะออกบิณฑบาตนึกก่อนเลย วันนี้ใครจะใส่บาตรก่อน ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร มากลุ่มนี้กี่คนอย่างนี้ นี่ขนาดนี้แล้วยังต้องซ้อมอยู่นะ ไม่อย่างนั้นสนิมกิน


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ที่มา board.palungjit.com

วิธีการน้อมนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ให้ได้


วิธีนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์



ถาม : การที่นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ หนูคิดเอาเองว่าต้องรบกวนคนที่ได้มโนมยิทธิ พาไปนิพพานเมืองแก้วหรือเปล่าเจ้าคะ ?

ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ

ถาม : เพราะปุถุชนอย่างหนู ถ้าพูดถึงนิพพาน หนูก็นึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ?

ตอบ : ไม่จำเป็น นึกถึงพระพุทธรูปไว้ว่า คือองค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่ที่ไหนหรอก นอกจากพระ

นิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน คิดแค่นี้พอ

ถาม : แล้วมโนมยิทธินี่ช่วยเหลือคนให้เห็น จะได้หายสงสัย ใช่ไหมคะ ?

ตอบ : ไม่ใช่ช่วยจ้ะ ทำให้ได้ แล้วก็รู้เห็นเอง คนอื่นทำได้เขารู้เห็น เขาหายสงสัยคนเดียว ถ้าเราทำไม่ได้ เราถามไปเรื่อย ไม่หมดความสงสัย

หรอก เพราฉะนั้นต้องทำให้ได้เอง เมื่อเรารู้เห็นจะได้หมดความสงสัย

ถาม : มโนมยิทธิเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ?

ตอบ : จ้ะ

ถาม : ภาวนา นะ มะ พะ ทะ

ตอบ : จ้ะ

ถาม : ปกติทุกวันนี้ที่หนูทำเอง ก็ดูลมหายใจเข้าออก ก็บริกรรมบ้าง ไม่บริกรรมบ้าง แต่พยายามให้รู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าหากจะเจริญมโน

มยิทธิก็ภาวนาระหว่างที่ดูลมหายใจ ?

ตอบ : จ้ะ ก็แค่เพิ่มคำภาวนาเข้าไป ลมหายใจเข้าออกทิ้งไม่ได้อยู่แล้วจ้ะ ยกเว้นมีครูฝึกมาอยู่ตรงหน้า เขาบอกให้หยุดภาวนา เราก็เลิกคิดถึง

ตรงนั้น หันมาสนใจกับครูฝึกแทน

ถาม : หนูยังไม่ค่อยกล้า หนูกลัวเห็นอะไรที่ตัวเองตั้งสติไม่ทัน ภาวนาเพื่อจะฝึกมโนมยิทธิ ทางที่ดีควรจะมีครูบาอาจารย์ใช่ไหมคะ

ตอบ : ? จ้ะ คือน้อยคนที่ทำได้เอง

ถาม : ระหว่างที่ทำ เราอาจจะเห็นนิมิตหลอกเรา จิตที่เราปรุงแต่งหลอกเราให้เห็นด้วย

ตอบ : อันนั้นก็มีอยู่ ขณะเดียวกันถ้าเราใช้มโนมยิทธิที่มีครูฝึกควบคุมอยู่ ท่านจะคอยบอกเราว่าควรจะทำอย่างไร ควรจะไปที่ไหน ถ้าอย่างนั้น

ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเจอสิ่งที่มาหลอก แต่ถ้าหากถึงเวลาไปทำคนเดียวนั้น โอกาสนั้นจะมี จะมีโอกาสโดนเขาหลอก เขาแกล้งได้ แต่ท่านจะมี

หลักการอยู่แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นนั้น อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าหากเราอธิษฐานขอรู้

เห็นตามความเป็นจริง ถึงเวลาจะรู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น

ถาม : ดูใจตัวเอง บางทีเหมือนกับมีภาพ มีเสียงมา บางทีก็จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง (ไม่ชัด) ต้องมีสติเจ๋งๆ เข้มๆ ถึงจะหาย

ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ สติเข้มหรือไม่เข้ม ถ้าทำถึงตรงนั้น ก็เป็น แต่ให้เข้าใจเลยว่าเรารู้เห็น เรารู้เห็นจริงๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะจริงสมมติว่า

เราเห็นคนไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราเองอาจจะโทรแจ้งตำรวจหรือเข้าไปขัดขวาง ปรากฎว่าโดนเขาไล่เตะเอา เพราะเขากำลังถ่ายหนังอยู่ เราเห็น

เขาฆ่ากันจริงๆ ไหมล่ะ ? แล้วเรื่องที่เราเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงไหม ?

ถาม : บางครั้งหนูรู้สึกรำคาญตัวเองเหมือนกันค่ะ บางทีก็เหมือนมาพูดกับเรา บางทีก็เหมือนกับเราเห็น

ตอบ : จ้ะ รับรู้ไว้เฉยๆ ถ้าเป็นไปตามนั้น แล้วค่อยน้อมใจเชื่อ แต่การน้อมใจเชื่อคือเชื่อเรื่องนั้น เรื่องที่เป็นไปแล้ว เรื่องที่ยังไม่เป็นต่อให้รู้มา

พร้อมกัน ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ เขาหลอกเราไม่ได้ ส่วนใหญ่เราจะไปเชื่อเลย

ถาม : แล้วเมื่อไหร่จะหายคะ ?

ตอบ : ไม่หายจ้ะ ยกเว้นว่าเรามั่นคงถึงขนาดที่ทำให้อย่างไรเขาก็หลอกเราไม่ได้ ต่อไปเขาก็เลิก แต่จะไปรู้เห็นเรื่องอื่นแทน

ถาม : เหมือนเงาที่มันอยู่ในน้ำ พอน้ำกระเพื่อมเงาก็หายไป ความรู้สึกก็เลยบอกว่า บางครั้งสิ่งที่มันเกิดเรารู้ไม่ทัน ถ้าเรารู้ทันว่ามันเกิดขึ้นได้

อย่างไร เราดับตรงนั้นได้มันก็ไม่มีปัญหา ?

ตอบ : ใช่ หมดเรื่องเลย จุดสำคัญที่สุดของอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง มันอยู่ตรงตัวจิตที่ปรุงแต่ง ถ้าเราหยุดคิดไม่ไปปรุงแต่งต่อไม่มีปัญหา

แต่ส่วนใหญ่มันหยุดไม่ทัน มันต้องเห็นตั้งแต่เหตุ กระทบตากระทบหูปุ๊บ ต้องรู้ทันแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น เสร็จแล้วก็หยุดมันเอาไว้แค่นั้น ถ้าเรา

เก็บมันมาไว้ในใจ เราคิดต่อเมื่อไหร่เป็นอันตรายกับเราทันที

ถาม : ไม่ให้คิด ยาก ?

ตอบ : คิดได้ แต่หยุดคิดให้เป็น ถ้าหยุดคิดไม่เป็นไปยาวเลย



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ที่มา http://board.palungjit.com

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin