"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การวางอารมณ์ใจในการตัดสักกายทิฎฐิของตนเอง




การวางอารมณ์ใจในการตัดสักกายทิฎฐิ

ถาม : ทีนี้เวลาภาวนาปกติจะใช้ว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา?
ตอบ : จ้ะ ดีเลยจ้ะ คราวนี้มันไม่ใช่ภาวนาเฉย ๆ มันต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว จิตยอมรับจริง ๆ โยมลองถามตัวเองว่าร่างกายนี้ใช่ของโยมมั้ย? แล้วให้ใจมันตอบออกมาจริง ๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า ตอบ เพราะรู้ว่า ต้องตอบว่าไม่ใช่ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นคำตอบที่ออกจากใจจริง ๆ ว่าไม่ใช่ของของเรา เราไม่สามารถทำให้จิตใจมันยอมรับได้

ก็ดูว่าร่างกายนี่มันประกอบจากอะไร มันก็มีธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้ดินน้ำไฟลมนี้ก็ต้องแยกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่แข็งเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันคือ ดิน ประกอบไปด้วยขน ผมเล็บฟัน หนัง กระดูกเส้นเอ็น พวกอวัยวะภายในอย่าง ตับไต ไส้ ปอด กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น เป็น ธาตุดิน มันจับได้ต้องได้ มันแค่นมันแข็งเป็นชิ้นเป็นอันเป็นท่อน เราก็แยกเป็นกองไว้ส่วนหนึ่ง ธาตุน้ำคือส่วนที่เหลวไหลไปมาในร่างกายของเรา มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมัน ปัสสาวะ อย่างนี้เป็นต้น ไขมันนี้ก็คือไขมันในเลือดน่ะ แล้วก็ธาตุลมก็คือสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมา พัดไปมาในร่างกายของเรา ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เขาเรียกว่าแก็ส ลมที่พัดไปมาทั่วร่างกายไม่ว่าจะพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดลงทั่วกายที่เขาเรียกว่า ความดันโลหิต แยกไปไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นความอบอุ่นของร่างกายเรียกว่าธาตุไฟ มีธาตุไฟที่เผาร่างกายให้เสื่อมโทรมลง ธาตุไฟที่เผาผลาญย่อยอาหาร ธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้น เหล่านี้เป็นธาตุไฟ

พอโยมแยกออกเป็นสี่ส่วน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก ไส้ ปอด เหล่านั้นเป็นกองหนึ่ง เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้แยกไว้กองหนึ่ง พวกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมพัดไปมาในเบื้องสูง เบื้องต่ำทั่วร่างกายไว้กองหนึ่ง ความอบอุ่นในร่างกายก็คือไฟธาตุที่ย่อยอาหาร ที่กระตุ้นร่างกายให้เติบโต ให้เสื่อมโทรมแยกไว้กองหนึ่ง หมดเกลี้ยงพอดีไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

พอเราจับเจ้าสี่กองนี้มาปั้นเข้าใหม่นะ เป็นหัวเป็นหูเป็นหน้าเป็นตาขึ้นมา เราก็ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ความจริงมันเป็นเปลือกที่เราอาศัยอยู่ ร่างกายนี้เหมือนกับรถคันหนึ่ง ตัวเราที่เป็นจิตคือคนขับรถ ถึงเวลาที่มันพังไปตามกาลตามเวลาของมัน เราที่เป็นจิตก็ต้องไปหารถคันใหม่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้

เมื่อถึงวาระนั้นถึงตอนนั้นถึงจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ พยายามแยกแยะอย่างนี้บ่อย ๆ ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ จนกระทั่งจิตใจมันยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา ร่างกายคนอื่นก็ไม่ใช่ของเขา ทั้งเขาและเรามีสภาพเดียวกันก็คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

พอจิตมันยอมรับแล้วต่อไปเราแค่คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา มันยอมรับก็ใช้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องคิดมากตอนแรก ๆ นี่ต้องคิดเหมือนยังกับเหวี่ยงแห จะเอาปลาทั้งทะเล แต่หลังจากที่คัดไปคัดมา ก็เลือกเอาปลาตัวที่ดีที่สุด มันก็เหลือนิดเดียว ตอนแรกของการปฏิบัติต้องกระจายออกกว้างมาก แต่พอรวบเข้าแล้วมันจะเหลือแก่นแค่นิดเดียวเท่านั้นใช่มั้ย? ถ้าทำจนใจยอมรับอย่างนี้ต่อไปแล้วจะสบาย เพราะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา พอโยมเกาะตัวธรรมดาติด หากินได้ตลอดชาตินี้และก็ชาติต่อ ๆ ไปเลย คราวนี้แยกออกแล้วยังจ้ะ

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ที่มา - http://board.palungjit.com

ให้รักษากำลังใจให้ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง



ประโยชน์ของการรักษากำลังใจให้ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง

พระอาจารย์ กล่าวว่า "เรื่องของกำลังใจ ถ้าเรารักษาให้ทรงตัวต่อเนื่องได้นาน ๆ ความผ่องใสจะมีมาก อะไรเกิดขึ้นจะรู้ล่วงหน้าก่อน แม้จะรู้ล่วงหน้าไม่นาน รู้ล่วงหน้าสักพักก็ยังดี อย่างน้อยๆ ก็พอที่จะป้องกันอันตรายได้

เดือนที่แล้วขากลับไปจากที่นี่ ทำเอาโชเฟอร์เครียดแทบตาย เพราะอาตมาบอกเขาว่าอย่าเบรกรถกะทันหัน จะโดนรถชนท้าย เขาก็ระวัง อาตมาบอกเขาว่าไม่ต้องระวังหรอก รถที่จะชนท้ายเป็นรถมิตซูบิชิ ปรากฏว่ามีรถมิตซูบิชิวิ่งตามอยู่เป็นชั่วโมงเลย เล่นเอาเครียดแทบตาย คันนั้นก็เหมือนตั้งหน้าตั้งตาจะตามมาชน กว่าจะแยกทางกันได้ แหม..เล่นเอาเครียด ตามมาจ่อท้ายอยู่ตลอดทาง

บางอย่างถ้าวาระกรรมที่ไม่หนักก็บอกได้ ถ้าวาระกรรมหนักก็บอกไม่ได้ ได้แต่รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้น ถึงรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรู้แล้วบอกไม่ได้"

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
ที่มา - http://board.palungjit.com

อาการหลงตัวเอง



หลงตัวเอง !

พระอาจารย์ กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริงๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้งๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง

ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้า ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือ การหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่

เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ที่มา - http://board.palungjit.com

ท่องสวรรค์



ท่องสวรรค์

อาตมามุมานะฝึกกรรมฐานตามแบบของหลวงพ่อ ก็ด้วยความอยากมีฤทธิ์มีเดช อยากไปเที่ยว นรก สวรรค์ คร่ำเคร่งกับการฝึกแบบเอาเป็นเอาตาย ดีที่ทางบ้านศรัทธาหลวงพ่อทุกคน ไม่งั้นคงจับอาตมาส่งโรงพยาบาลไปแล้ว....

เย็นวันหนึ่งของปลายปี ๒๕๒๑ พี่ชาย (คุณ ประสิทธิ์ เพชรชื่นสกุล) ชวนอาตมาไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) โดยบอกว่าใครฝึกวิชานี้ได้สามารถไปนรก สวรรค์ ได้เลย...

อาตมาแทบเหาะไปด้วยความดีใจ โธ่...เสียเวลาฝึกแทบล้มประดาตายก็เพราะเหตุนี้ พอรู้ว่ามีครูฝึกสอนให้ จะไม่ให้อาตมาดีใจได้อย่างไร กระนั้นก็ยังไปแทบไม่ทันเวลา เพราะเขาจะลงมือฝึกกันแล้ว...

ผู้เข้ารับการฝึก รวมอาตมากับพี่ชายแล้วมีอยู่แค่เจ็ดคนเท่านั้น ได้รับความเมตตาจากพี่ ๆ ทุกท่าน จัดหาเครื่องบูชาครูมาให้ทุกอย่าง ยกเว้นเงินหนึ่งสลึง ที่อาตมาพาซื่อไปหาแลกมาจนได้ มารู้ทีหลังว่าใส่เกินก็ได้ ขายหน้าชมัดเลย...

พอสมาทานกรรมฐานเสร็จ ครูฝึกก็ให้ทุกคนภาวนา “นะมะพะธะ” ครู่หนึ่ง พออารมณ์ทรงตัว ก็มีครูฝึกมานั่งอยู่ข้างหน้า แนะนำให้ทำตัวสบาย ๆ สอนให้ทำใจเลิกห่วงร่างกาย แล้วสอบถามว่า...
“เห็นแสงสว่างมั้ย...” “ไม่เห็นครับ” “เห็นภาพพระพุทธเจ้ามั้ย...” “ไม่เห็นครับ” สารพัดจะไม่ครับ...อาตมาก็อยากเห็นอยู่หรอก แต่มันมืดตี๊ดตื๋อ แมวสักตัวก็ไม่เห็น แล้วจะให้บอกว่าเห็นอะไรได้ ทำเอาครูฝึกท้อใจ นั่งเงียบไปเลย...

พอดีได้ยินเสียงครูฝึกอีกท่าน ที่กำลังสอนศิษย์ของท่าน กล่าวกับลูกศิษย์ขึ้นที่ข้างหลังอาตมาว่า “คุณนึกถึงภาพพระพุทธรูป ที่คุณรักชอบที่สุดดูซิคะ...เห็นชัดมั้ย...” โอ๊ย...แบบนี้ก็หวานเท่านั้น...

อุตส่าห์จับภาพพระมาตั้ง ๓-๔ ปี มีหรือที่จะไม่ชัด เลยบอกครูฝึกว่าเห็นภาพพระแล้ว พลางอธิบายจ๋อย ๆ ไม่ขาดปาก พุทธลักษณะเป็นอย่างไร อธิบายซะละเอียดยิบ จนครูฝึกก็งงว่าอยู่ ๆ อาตมาผีเข้าหรืออย่างไร...

ครูฝึกค่อย ๆ ตะล่อมกำลังใจของอาตมา ให้เข้าที่เข้าทางที่ท่านต้องการ จนถึงตรงที่ว่า “นึกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ขอพระองค์โปรดประทับยืนขึ้นด้วย...” เหตุการณ์มหัศจรรย์พันลึกก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา...

ภาพพระที่อาตมาจับเป็นกสิณนั้น เป็นภาพวาดตอนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ วาดโดย คุณคำนวณ ชานันโท เป็นภาพนั่งสมาธิแท้ ๆ แต่พออาตมากำหนดจิตตามที่ครูฝึกสอน...

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับยืนขึ้นจริง ๆ ...
พุทธลักษณะกลายเป็นปางลีลา พระวรกายเหลืองอร่ามดังทองคำ สว่างไสวจนหาประมาณไม่ได้ อาตมาขนลุกซ่าเห่อไปทั้งตัว...

น้อมจิตกราบลงแทบพระยุคลบาท พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์งดงามสุดพรรณา...โอ...สมเด็จพ่อของลูก.. น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากลงทันที...

ยามนี้แม้ตายลงในทันทีอาตมาก็ยินดี ชีวิตนี้ไม่เสียดายอีกแล้ว เรามีโอกาสพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว...ครูฝึกแนะนำให้ตามเสด็จพระองค์ท่านไปยังพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์...

ขอบารมีพระองค์ท่านขอให้พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณในทุก ๆ ชาติ ที่เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระบนนิพพาน ได้โปรดมาประชุมรวมกัน ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด...

ภาพที่ปรากฎพรึ่บขึ้นมาทำเอาตกใจ ทำไมช่างมากมายมหาศาลอะไรอย่างนี้ แน่นขนัดไปหมดในทุกที่ทุกทาง กราบลงแทบเท้าของทุก ๆ ท่าน แล้วตั้งใจดูพระอินทร์ตามที่ครูฝึกบอก อยากเห็นมานานแล้ว...

เห็นลุงแก่คนหนึ่ง ครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนขวานอยู่บนแท่น ลุงแก่อ้วนพุงพลุ้ย ไว้หนวดยาวโง้ง นุ่งกางเกงขาสามส่วนไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดชายอยู่สองบ่า สูบบุหรี่มวนเบ้อเริ่ม ควันโขมงเลย...

“นี่น่ะเหรอ...พระอินทร์....” คิดแค่นั้นลุงกำนันก็ลุกนั่งตัวตรงถามว่า “จะเอาแบบไหนล่ะ...” พริบตาเดียวท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อยเป็นพันแบบ ในที่สุดก็ทรงเครื่องเต็มอัตรามหามงกุฎยอดแหลมรัศมีสีเขียวสวยจนบอกไม่ถูก...

กราบลาท่านตามพระไปยังจุฬามณีเจดียสถาน เห็นเจดีย์แก้วสว่างไสวดุจอาทิตย์ยามเที่ยง รายรอบด้วยราชวัตรฉัตรธง และวิหารเจดีย์มณฑป สวยงามเหลือที่จะบรรยาย รู้สึกเย็นฉ่ำชื่นใจจนบอกไม่ถูก...

พบเทวดาร่างใหญ่ดังภูเขาเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณี ท่านบอกว่าชื่อ “มเหสักข์” เรียกท่านว่าพี่ก็ได้ จึงขอให้ท่านนำเข้าไปภายใน เพื่อกราบพระเขี้ยวแก้วและพระเกตุมาลา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

ภายในพระจุฬามณีที่กว้างขวางใหญ่โตนั้น เต็มไปด้วยเหล่าเทวดา พรหม และพระอรหันต์ มาถวายนมัสการเป็นพุทธบูชา เป็นหมวดหมู่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านแบ่งหมู่กันเอง ตามลักษณะของกายทิพย์...

พระทันตธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นเพชรสว่างสดใส พระเกตุมาลานั้นเป็นคล้ายแก้วสีดำละเลื่อม ต่างเปล่งฉัพพรรณรังสีละลานตา อาตมากราบบูชาด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด นับว่าไม่เสียทีที่เกิดมา...

ท่านผู้อ่านทุกท่านจะเชื่อหรือไม่... บรรดานักปราชญ์ที่โลกยกย่อง ท่านบอกว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี แล้วที่อาตมาพบเห็นอยู่นี่เป็นอะไร ขอทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญดูเถิด...


อ้างอิง อดีตที่ผ่านพ้น ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
ที่มา บอร์ดพลังจิต

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin