วิธีนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถาม : การที่นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ หนูคิดเอาเองว่าต้องรบกวนคนที่ได้มโนมยิทธิ พาไปนิพพานเมืองแก้วหรือเปล่าเจ้าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ
ถาม : เพราะปุถุชนอย่างหนู ถ้าพูดถึงนิพพาน หนูก็นึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ไม่จำเป็น นึกถึงพระพุทธรูปไว้ว่า คือองค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่ที่ไหนหรอก นอกจากพระ
นิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน คิดแค่นี้พอ
ถาม : แล้วมโนมยิทธินี่ช่วยเหลือคนให้เห็น จะได้หายสงสัย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ช่วยจ้ะ ทำให้ได้ แล้วก็รู้เห็นเอง คนอื่นทำได้เขารู้เห็น เขาหายสงสัยคนเดียว ถ้าเราทำไม่ได้ เราถามไปเรื่อย ไม่หมดความสงสัย
หรอก เพราฉะนั้นต้องทำให้ได้เอง เมื่อเรารู้เห็นจะได้หมดความสงสัย
ถาม : มโนมยิทธิเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : จ้ะ
ถาม : ภาวนา นะ มะ พะ ทะ
ตอบ : จ้ะ
ถาม : ปกติทุกวันนี้ที่หนูทำเอง ก็ดูลมหายใจเข้าออก ก็บริกรรมบ้าง ไม่บริกรรมบ้าง แต่พยายามให้รู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าหากจะเจริญมโน
มยิทธิก็ภาวนาระหว่างที่ดูลมหายใจ ?
ตอบ : จ้ะ ก็แค่เพิ่มคำภาวนาเข้าไป ลมหายใจเข้าออกทิ้งไม่ได้อยู่แล้วจ้ะ ยกเว้นมีครูฝึกมาอยู่ตรงหน้า เขาบอกให้หยุดภาวนา เราก็เลิกคิดถึง
ตรงนั้น หันมาสนใจกับครูฝึกแทน
ถาม : หนูยังไม่ค่อยกล้า หนูกลัวเห็นอะไรที่ตัวเองตั้งสติไม่ทัน ภาวนาเพื่อจะฝึกมโนมยิทธิ ทางที่ดีควรจะมีครูบาอาจารย์ใช่ไหมคะ
ตอบ : ? จ้ะ คือน้อยคนที่ทำได้เอง
ถาม : ระหว่างที่ทำ เราอาจจะเห็นนิมิตหลอกเรา จิตที่เราปรุงแต่งหลอกเราให้เห็นด้วย
ตอบ : อันนั้นก็มีอยู่ ขณะเดียวกันถ้าเราใช้มโนมยิทธิที่มีครูฝึกควบคุมอยู่ ท่านจะคอยบอกเราว่าควรจะทำอย่างไร ควรจะไปที่ไหน ถ้าอย่างนั้น
ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเจอสิ่งที่มาหลอก แต่ถ้าหากถึงเวลาไปทำคนเดียวนั้น โอกาสนั้นจะมี จะมีโอกาสโดนเขาหลอก เขาแกล้งได้ แต่ท่านจะมี
หลักการอยู่แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นนั้น อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าหากเราอธิษฐานขอรู้
เห็นตามความเป็นจริง ถึงเวลาจะรู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น
ถาม : ดูใจตัวเอง บางทีเหมือนกับมีภาพ มีเสียงมา บางทีก็จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง (ไม่ชัด) ต้องมีสติเจ๋งๆ เข้มๆ ถึงจะหาย
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ สติเข้มหรือไม่เข้ม ถ้าทำถึงตรงนั้น ก็เป็น แต่ให้เข้าใจเลยว่าเรารู้เห็น เรารู้เห็นจริงๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะจริงสมมติว่า
เราเห็นคนไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราเองอาจจะโทรแจ้งตำรวจหรือเข้าไปขัดขวาง ปรากฎว่าโดนเขาไล่เตะเอา เพราะเขากำลังถ่ายหนังอยู่ เราเห็น
เขาฆ่ากันจริงๆ ไหมล่ะ ? แล้วเรื่องที่เราเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงไหม ?
ถาม : บางครั้งหนูรู้สึกรำคาญตัวเองเหมือนกันค่ะ บางทีก็เหมือนมาพูดกับเรา บางทีก็เหมือนกับเราเห็น
ตอบ : จ้ะ รับรู้ไว้เฉยๆ ถ้าเป็นไปตามนั้น แล้วค่อยน้อมใจเชื่อ แต่การน้อมใจเชื่อคือเชื่อเรื่องนั้น เรื่องที่เป็นไปแล้ว เรื่องที่ยังไม่เป็นต่อให้รู้มา
พร้อมกัน ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ เขาหลอกเราไม่ได้ ส่วนใหญ่เราจะไปเชื่อเลย
ถาม : แล้วเมื่อไหร่จะหายคะ ?
ตอบ : ไม่หายจ้ะ ยกเว้นว่าเรามั่นคงถึงขนาดที่ทำให้อย่างไรเขาก็หลอกเราไม่ได้ ต่อไปเขาก็เลิก แต่จะไปรู้เห็นเรื่องอื่นแทน
ถาม : เหมือนเงาที่มันอยู่ในน้ำ พอน้ำกระเพื่อมเงาก็หายไป ความรู้สึกก็เลยบอกว่า บางครั้งสิ่งที่มันเกิดเรารู้ไม่ทัน ถ้าเรารู้ทันว่ามันเกิดขึ้นได้
อย่างไร เราดับตรงนั้นได้มันก็ไม่มีปัญหา ?
ตอบ : ใช่ หมดเรื่องเลย จุดสำคัญที่สุดของอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง มันอยู่ตรงตัวจิตที่ปรุงแต่ง ถ้าเราหยุดคิดไม่ไปปรุงแต่งต่อไม่มีปัญหา
แต่ส่วนใหญ่มันหยุดไม่ทัน มันต้องเห็นตั้งแต่เหตุ กระทบตากระทบหูปุ๊บ ต้องรู้ทันแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น เสร็จแล้วก็หยุดมันเอาไว้แค่นั้น ถ้าเรา
เก็บมันมาไว้ในใจ เราคิดต่อเมื่อไหร่เป็นอันตรายกับเราทันที
ถาม : ไม่ให้คิด ยาก ?
ตอบ : คิดได้ แต่หยุดคิดให้เป็น ถ้าหยุดคิดไม่เป็นไปยาวเลย
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ที่มา http://board.palungjit.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น