"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

จะไปพระนิพพานได้หรือไม่ ถ้าไม่รู้จักพระนิพพาน



ไม่รู้จักพระนิพพาน จะไปพระนิพพานได้หรือไม่ ?

ถาม : ถ้าเราไม่รู้จักพระนิพพาน มโนมยิทธิก็ไม่ได้ ศีลสมาธิก็ไม่ค่อยดี เราจะไปนิพพานอย่างไร ?

ตอบ : อีกหลายชาติ ถ้าหากทำในศีล สมาธิ ปัญญาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากสิ่งที่เราทำนั้นดี ทำถูกจริง จะสามารถสัมผัสนิพพานได้เลยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจน เพราะอารมณ์พระนิพพานจะมาสัมผัสกับใจของเราเอง เพราะฉะนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็น สุกขวิปัสสโก ไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย แต่ทำไมมั่นใจนักหนาว่านี่คือพระนิพพาน เราสามารถไปนิพพานได้ เพราะว่าพอทำถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง จะเรียกว่าอุปกิเลสเกิดขึ้นก็ได้ ญาณเครื่องรู้บังเกิดขึ้น อุปกิเลสแต่ว่าใกล้กิเลส ยังไม่ใช่กิเลส จะใช่กิเลสก็ต่อเมื่อเราไปยึด

ถาม : ถ้าเราไหว้พระตอนเช้า ไหว้หลวงพ่อฤๅษี ขอหลวงพ่อว่าเวลาเราตายไป ขอหลวงพ่อเมตตามารับเรา

ตอบ : ขอได้ แต่เหมือนกับว่าคุณขออยู่ฝ่ายเดียว แต่คุณไม่เปิดประตูรับ ท่านจะมารับเราได้อย่างไร ต้องอาศัยกำลังใจของเรามีจุดที่เกาะที่มั่นคง หรือไม่ก็อาศัยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกนี้สภาพนี้ไม่มีอะไรดี แล้วเราต้องการสลัดตัดทิ้งไปเลย เราจึงจะสามารถไปได้ แต่ถ้าเราเอาแต่ขออย่างเดียว ไม่มีการดำเนินวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะไปได้ ก็รอไปอีกนาน

ถาม : บางทีเราฟังธรรมะเราก็พอเข้าใจ แต่พอเกิดขึ้น ก็ดับไป แต่ทำไมอารมณ์ตรงนี้จึง ไม่ติดอยู่ในใจ เรา ?

ตอบ : เพราะนั่น ยังเป็นแค่สัญญา คือ จำได้เท่านั้น ยังไม่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เข็ดกลัวและเบื่อหน่าย คลายกำหนัดแล้วปล่อยวาง ยังต้องทำอีกหลายขั้นตอน

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓

ที่มา board.palungjit.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin