"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การเอาจิตเกาะพระนิพพานโดยมโนมยิทธิ เป็นการตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด



ถาม : ไปนั่งสมาธิอยู่หน้าพระพุทธองค์เจ้าค่ะ พอจิตอยู่ในสภาพนี้ กายของตัวเองเริ่มเปลี่ยนเป็นกายที่ใสๆ แล้วเปลี่ยนเป็นองค์พระเจ้าค่ะ แล้วสักพักก็มีแสงเป็นสีรุ้งรอบๆ ก็เลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นไม่เข้าใจ ?

ตอบ : ไม่เกิดอะไรขึ้นจ้ะ

อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน การที่เราส่งกำลังใจขึ้นพระนิพพาน เป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติและง่ายที่สุด เพราะ ว่าตัว รัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆ เป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าไม่มีใจซึ่งเป็นตัวคอยปรุงแต่งเพิ่มเติมไป คอยที่จะกระตุ้นเร้าอยู่ กิเลสพวกนี้ก็ต้องดับลงไปเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะเป็นของที่ไม่ยั่งยืน อยู่นานไม่ได้

หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนมโนมยิทธิ ให้พวกเรารู้จักพระนิพพาน ไปพระนิพพานได้ เพราะเป็นการตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว

หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีระยะหนึ่งมีพระสำเร็จอรหันต์ ๗ องค์พร้อมๆ กัน ปรากฏว่าท่านมาศึกษา มโนมยิทธิ ไปจาก วัดท่าซุง แล้วท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเอาใจเกาะพระบนนิพพานอย่างเดียว พอถามท่านว่า "เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" ท่านบอก "ก็ไม่รู้..อยู่ๆ ก็เป็นเอง"

ลักษณะอย่างนี้เพราะ การที่เราเอาจิตเกาะนิพพาน สภาพจิตจะแจ่มใส กิเลสกินเราไม่ได้ พอนานไปความเคยชินเกิดขึ้น จิตใจผ่องใสมากขึ้นเรื่อยๆ กิเลสก็จะหมดไปเองโดยอัตโนมัติ

จุดนี้คือที่จุด สำคัญที่สุด ของ โนมยิทธิ ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านต้องการให้พวกเราทำ
ท่านไม่ได้ให้เราเอาไปฟื้นความสัมพันธ์กับคนอื่น ท่านสอนให้เราละ แต่ส่วนใหญ่จะเอาไปยึด รีบๆ ทำเข้า ตอนนี้มาตรงทางแล้ว วิธีนี้แหละ ทำบ่อยๆ เข้าอีกไม่นาน คงจะได้เผากันแน่..!

ถาม : ....พอทำถึงตรงนี้มีความรู้สึกว่าตอนนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อหน้าที่ๆ เราจะต้องทำ ทำตามหน้าที่ๆ ควรจะทำ แล้วก็ไม่มีความหวังที่จะอยากได้อะไร หรือเป็นอะไร ดูว่างๆ ไม่เข้าใจว่า...?

ตอบ : ...(หัวเราะ)... เข้าใจจ้ะ ไม่ต้องอธิบายจ้ะ ตอนนี้ ถ้าหากว่ารักษาอารมณ์ใจนั้นได้ เราก็ จะอยู่เหนือบุญเหนือบาป รู้ว่าอันนี้ดีก็ทำ รู้ว่าอันนี้ชั่วก็ละ จิตไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ไม่กลัวตาย ไม่อยากตาย แต่พร้อมที่จะตายได้ทุกเวลา ถ้าหากว่างานของตัวเองหมด ก็จะไปทันทีเลยจ้ะ

ถาม :แบบนี้หรือเจ้าคะ ?

ตอบ : จ้ะ....เพราะฉะนั้น..รีบหางานให้เยอะๆ เข้าไว้ ...(หัวเราะ)... กำลังใจของคนที่ทำถึงจุดนี้ ถ้ากำลังใจตั้งตรงจุดจริงๆ ไม่มีใครเขาอยากอยู่กันหรอก

ถาม : แล้วจิตเราสบายดีนะเจ้าคะ ?

ตอบ : วะ..! ไม่สบายใครเขาจะทำกันเล่า

ถาม : ...ทำต่อหรือเจ้าคะ ?

ตอบ : ทำต่อจ้ะ ถึงตอนนี้เราจะเข้าใจชัดเจนว่า จริงๆ แล้วนิพพานไม่เห็นต้องยึดต้องเกาะอะไร เพราะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ตายเมื่อไหร่เราก็รู้ว่าเราไปพระนิพพานแน่ พูดให้คนอื่นฟังมามากแล้ว เขาคลำตรงนี้ไม่ค่อยถูกกัน ...

แรกๆ ก็ต้องอาศัยเกาะก่อน เหมือนเกาะราวบันไดเดินขึ้นบันไดมา เราเกาะเพื่อความมั่นคง แต่พอถึงห้องข้างบนแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแบกราวบันไดไปด้วย เพราะเราถึงแล้วนี่...

ดัง นั้น..เมื่อถึงตอนนี้ อารมณ์พระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ในเมื่อเต็มอยู่ในใจของเราเอง เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาว่า ตายตอนนี้เราก็นิพพานตอนนี้ ไม่เห็นจะต้องไปยึดไปเกาะอะไรอีกแล้ว


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ที่มา http://board.palungjit.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin