"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พระเล่นหวยใต้ดินผิดไหม ?



ถาม : พระเล่นหวยใต้ดินผิดไหมครับ ?

ตอบ : ถ้าหากว่าเล่นตรงก็ไม่ผิด ถ้าเล่นไม่ตรงก็ผิด อย่างเช่นงวดที่ผ่านมา ถ้าเล่น ๕๐ หรือ ๙๐ ก็ไม่ผิด..(หัวเราะ)..ถามมาพระก็ตอบตรงไปตรงมา

ถ้าพระเล่นหวยเขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยได้ ปรับกระทำสิ่งประหนึ่งฆราวาสได้ ปรับข้ออเนสนา หาเลี้ยงชีพในทางมิชอบได้ เพราะฉะนั้น..ศีลขาดไปแล้ว

อาตมาเองโดนโยมเขาชวนซื้อหวยออกจะบ่อยไป ก็บอกโยมว่าซื้อไม่ได้หรอก เจ้าอาวาสวัดนี้โหดมาก ถ้าหากว่าพระเล่นหวยนี่ไล่ออกจากวัดเลย ญาติโยมก็มักจะถามว่าวัดไหน ? อาตมาก็บอกวัดท่าขนุน เขาก็อยากรู้จักเจ้าอาวาส อาตมาก็บอกว่าลองไปวัดดู..เดี๋ยวก็เจอเองแหละ..!

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕

ที่มา - board.palungjit.com
 

วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นวันที่หลวงตามหาบัวบรรลุธรรมขั้นสูงสุด


วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓

เป็นวันที่หลวงตามหาบัวบรรลุธรรมขั้นสูงสุด

ตรงกับวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๕ ทุ่มตรง
ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร ซึ่งปีนี้ครบ ๖๓ ปีพอดีครับ
พระธรรมเทศนาโดยหลวงตามหาบัว ท่านเล่าถึงวินาทีที่ท่านบรรลุธรรมครับ


... “..บทสุดท้ายที่จะคว่ำวัฏจิตวัฏจักร ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงการเกิดการตายทับถมกันนี้ มายุติในวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปฟ้าดินถล่มที่นั่นละ ฟ้าดินถล่มนี้เราไม่เคยเห็นนะ เพราะเกิดมาก็ไม่เคยคาดเคยหมายว่าสวรรค์เป็นอย่างไร พรหมโลกเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็น มีแต่คาดแต่หมายไปอย่างนั้น แต่ในคืนวันนั้นพูดให้มันชัดเจนเสีย เป็นอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลย วันที่ ๑๕ เดือนพฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละตอนที่ฟ้าดินถล่มถล่มในตอนนั้น พอฟ้าดินถล่มตัวนี้พุ่งขึ้นบนอากาศมันขึ้นไปได้อย่างไร ฟังซิน่ะมาอวดท่านทั้งหลายเหรอ นั่งอยู่ธรรมดานี่ละร่างกายของเรานี้มันพุ่งขึ้นมันขึ้นไปได้อย่างไร เราเองก็อัศจรรย์เองนะพอพุ่งขึ้นไปลงมาแล้วมันสั่นไปหมดในร่างกาย ตัวสั่นเหมือนโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย สว่างจ้าขึ้นมาครอบหลังวัดดอยธรรมเจดีย์

มองไปที่ไหนว่างหมดไม่มีอะไรเหลือเลย โอ้โห เป็นอย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระธรรมแท้ก็คือธรรมชาติ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วนั่นละธรรมแท้ เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นแล้วนะนั่น นั่นละเป็นวาระสุดท้าย ฟ้าดินถล่มวันนั้น จากนั้นมาเรื่องภพเรื่องชาติขาดสะบั้นไปพร้อมๆ กันหมดไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจเลย เป็นในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี นั่นละกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ สว่างจ้าขึ้นมา อัศจรรย์ตัวเอง ถึงขนาดพูดว่า เหอ..พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ เอ๊..พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นแล้วนะนั่น

แต่ก่อนพอระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะมาพร้อมกันๆ แต่ในขณะใหญ่นี้ผ่านไปแล้วกลายเป็นว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร เป็นอันเดียวกันแล้วธรรมทั้งแท่ง จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน สว่างจ้าเลย นี่ก็อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่ได้ลืมนะ วัดนี้จึงเป็นวัดที่สลักปักลึกในหัวใจเรามากทีเดียว ไปทีไรต้องจ้องอยู่นั่นละ แต่ทุกวันนี้มันขึ้นข้างบนไม่ได้ ก็ไปอยู่ที่ศาลาข้างล่าง แต่ก่อนไปปั๊บขึ้นเลย ไปชมอะไรพูดไม่ถูกละ ชมธรรมอัศจรรย์ของเราที่เป็นในที่เช่นไร มันจะวิ่งเข้าถึงนั้นเลย แต่เวลานี้ขึ้นไม่ได้ มีแต่มองไปด้วยจิตเท่านั้นละ เห็นบุญเห็นคุณวัดดอยธรรมเจดีย์ของเรา

เราได้ปฏิบัติมาก็อย่างนี้ละกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเวลาออกปฏิบัติทีแรกจิต มันดีดมันดิ้น มันฟัดมันเหวี่ยงกับเรานี้ โอ๊ยหัวคว่ำหัวหงายไปเลย ครั้นเอาไปเอามาก็มีกำลังฟัดกันๆต่อไปกิเลสก็หงายเลย พอกิเลสหงายฟ้ากระจ่างขึ้นมาเลยเรียกว่าฟ้าดินถล่มในสถานที่นั่นวัดดอย ธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่นละวันเปิดโลกธาตุ ภพชาติต่างๆที่เกิดที่ตายมากี่ภพกี่ชาติตายกองกันทั้งเขาทั้งเรา เฉพาะเรื่องธรรมเรื่องความเกิดความตายความทุกข์ความทรมานในวัฏสงสารของเรา เองได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วในขณะนั้นอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย

คืนวันนั้นไม่นอนเลย พอนั่งแล้วก็คำนึงถึงความอัศจรรย์ของธรรมพระพุทธเจ้าก็มาอยู่อันเดียวกัน เสีย พระธรรมก็เป็นอันเดียวกันเสียพระสงฆ์ก็เป็นอันเดียวกันเสียเลยไม่ปรากฏว่า เป็นสองเป็นสามเหมือนที่เราเคยคิดมาแต่ดั้งเดิมพอมาถึงจุดนั้นแล้วผางที เดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆจากนั้นมาแล้วพระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละ เหรอๆพระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นี่เป็นแล้วนะนั่น มันเป็นแล้วอัศจรรย์ตั้งแต่บัดนั้นมา ขาดสะบั้นเรื่องภพเรื่องชาติตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ไม่ได้คิดได้คาด ว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนเกิดแล้วจะไปตายที่ไหน จะขึ้นจะลงที่ไหน หมดปัญหาโดยประการทั้งปวงพอแล้วอยู่กับคำว่าธรรมธาตุ พอแล้วอยู่กับคำว่านิพพานเที่ยงรวมอยู่นั้นหมด ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหนองค์ไหนก็แบบเดียวกันๆ ถามหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนองค์นั้นชื่อว่าอย่างไรองค์นี้ชื่อว่าอย่างไร พระนามของท่านชื่อว่าอย่างไรไม่ถาม

ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เป็นอันเดียวกันเหมือนกันกับน้ำที่ตกลงมาจากฟ้านั่น ละ เมฆก้อนไหนก็ตามลงมาสู่น้ำมหาสมุทรแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลยไม่ได้แยกแยะว่าเมฆก้อนหนึ่งเป็นฝนมาจาก เกาะไหนดอนใดไม่มีลงนั้นแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด อันนี้พอผางขึ้นมหาวิมุตติมหานิพพานแล้วเป็นอันเดียวกันหมด ถามที่ไหนเมฆก้อนไหนตกลงมาก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เมฆหมายถึงธรรมก้อนไหนตกเข้ามาในหัวใจเราจากความเพียรของเราก็เป็นมหา วิมุตติมหานิพพานไปตามๆ กันหมด หายสงสัยตั้งแต่บัดนั้นมาหายสงสัยแล้ว การเกิดการตายเราจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการเกิดการตายของเรา เราพูดจริงๆ เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสีย หมดเรื่องภพเรื่องชาติล้างป่าช้าในชาตินี้ล้างหมดเรียบร้อยไม่มีเหลือ ก็จะมีตั้งแต่เวลาเราตายนี้เขาจะเอาศพของเราไปให้ไฟเผาเท่านั้นเอง ข้อแม้อันหนึ่งนั้นคือว่าพินัยกรรมของเราได้ประกาศไว้แล้วตั้งแต่เรายังไม่ ตายนี่เวลาเราตายบรรดาญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาทางใกล้ทางไกลที่นับถือพุทธศาสนา เวลาเราตายนี้ ต่างคนก็ต่างจะเอาสมบัติเงินทองเข้ามาอนุโมทนา มันทนไม่ไหวแล้วจะต้องตายก็ต้องยอมรับ ปัจจัยทั้งหลายก็มาทุ่มให้เราๆ ศพเมรุเน่าๆ นั้นแหละ

พอเขาถวายหมดแล้วเราก็มีพินัยกรรมของเราอีก นี่เวลาเราตายนี้แล้วท่านผู้ใดที่มีศรัทธาความเคารพเลื่อมใสต่อเรา เห็นว่าสุดวิสัยแล้วต่างก็เอาจตุปัจจัยไทยทานมาบริจาค ทีนี้จตุปัจจัยไทยทานที่มาบริจาคเรามีพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว เวลาเราตายพินัยกรรมของเราบอกว่า สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทานเพื่อเผาศพของเรานี้ สมบัติเหล่านี้เราตั้งกรรมการรับผิดชอบไว้หมดเลย พอเสร็จเรียบร้อยแล้วจะยกเงินทองทั้งหมดนี้เอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง ตัวเราเองจะเผาด้วยไฟเท่านั้น หายห่วงไปเลย ลบป่าช้าความเกิดแก่เจ็บตายไปหมด นรกสวรรค์ชั้นไหน พรหมโลกอยู่ชั้นไหนลบหมดไม่มีอะไรเหลือ หากประจักษ์ในหัวใจนี้เอง เหลือตั้งแต่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เหลือเท่านั้นละ คำว่านิพฺพานํ คือธรรมธาตุ จิตเป็นธรรมธาตุ จิตเป็นธาตุ ธาตุเป็นจิต เรียกว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว หาอะไรอีก หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละการปฏิบัติมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายก็มาเป็นในคืนวันนั้นละ เป็นที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นี่ละกิเลสได้ขาดสะบั้นลงจากใจ

ตั้งแต่บัดนั้นมา เราจึงไม่เคยลืมบุญลืมคุณของวัดดอยธรรมเจดีย์นะ คุณอันนี้ฝังลึกมากทีเดียว เราระลึกย้อนหลังไปหาพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ในต้นโพธิ์ใหญ่ ได้ถือต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเห็นบุญเห็นคุณของต้นโพธิ์ใหญ่นั้น นี่ก็เห็นบุญเห็นคุณของธรรมกองใหญ่ ธรรมธาตุขึ้นในที่นั่น จึงไม่มีวันลืมเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ ทุกคนให้จำเอาไว้ นี่ละการปฏิบัติศีลธรรม ปฏิบัติไม่หยุดไม่ถอยได้ไม่สงสัย คำว่าตรัสรู้บรรลุธรรมอย่างนี้ก็ไม่เคยได้คิดได้อ่าน แต่ก่อนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร องค์นั้นเป็นอย่างไร องค์นี้เป็นอย่างไร มันไขว่มันคว้าไปหมด พอธรรมธาตุได้ผางขึ้นมาในหัวใจแล้วพระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไรไม่ถามธรรมะแท้ เป็นอย่างไรไม่ถาม พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นธรรมอันเดียวกันทีนี้ก็ไม่ต้องถามใคร เป็นอันเดียวกันหมด ให้พากันจำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้..”

( พระธรรมเทศนา : นาทีบรรลุธรรมขององค์พระหลวงตามหาบัว )
ที่มา - board.palungjit.com

ใครวางก่อนก็สบายก่อน


พระอาจารย์ กล่าวว่า เรื่องของการไปอยู่วัด ปฏิบัติที่วัด อย่าไปตั้งความหวังไว้สูงว่าทุกอย่างต้องดี เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ก็คือ ไม่ว่าสถานที่จะดีแค่ไหน ครูบาอาจารย์ดีแค่ไหน แต่คนที่อยู่ในที่นั่นก็ยังเป็น “คน” ในเมื่อยังเป็น “คน” อยู่ โอกาสที่ “คน” กับ “คน” จะกระทบกระทั่งกันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปตั้งความหวังเอาไว้สูง คิดว่าทุกคนจะต้องดีกับเราหมดอย่างกับเป็นพระอรหันต์ ก็ฝันไปเถอะ..!

ประการที่ ๒ ก็คือ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติจริง มักจะเจอการทดสอบหนักๆ แล้วการทดสอบก็มาในแง่ของรัก โลภ โกรธ หลง ดังนั้น..จะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ทำอย่างไรที่จะให้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราสามารถเอามาพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีกว่าปัจจุบันให้ได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็แปลว่าเราจะมีแต่ความก้าวหน้าส่วนเดียว ถือคติง่ายๆ แบบอาตมาตั้งแต่แรกคือ ใครวางก่อนก็สบายก่อน ใครไม่วางก็ช่างหัวมัน เชิญแบกไปเถอะ..!

ใหม่ๆ ไปอยู่วัด อาตมายังเป็นวัยรุ่น ขนาดตอนบวชอายุ ๒๗ เจอบางคนก็ยังเรียกว่าเณรอยู่เลย ตอนนี้ ๕๔ ปี ค่อยดูเป็นพระขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ตอนนั้นหน้าตาไม่ให้ บุคลิกไม่ให้ แต่ดันเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด เอาแต่ภาวนาอย่างเดียว คนอื่นเขาก็ยิ่งหมั่นไส้

จำได้ว่าปฏิบัติทุ่มเทกับหลวงพ่อจริงๆ ตอนอายุ ๑๖ ปี ก็คือปี ๒๕๑๘ มาเริ่มพูดกับมนุษย์มนาตอนอายุ ๒๕ ปี เวลา ๙ ปีเต็มๆ ที่ไม่ค่อยพูด เพราะมีความสุขอยู่กับการภาวนา คอยระมัดระวังรักษาอารมณ์ตัวเองไม่ให้เสีย ก็เลยกลายเป็นเหมือนหยิ่ง ไม่ยอมพูดกับใคร

แต่คราวนี้ช่วงก่อนหน้านั้นประมาณ ๑ ปี เริ่มเป็นครูสอนมโนมยิทธิ ครูเลิกสอนก็นั่งเงียบ ลูกศิษย์เขาสงสัยอะไรก็ไม่กล้าถาม แล้วไปถามคนอื่น คำตอบมาเข้าหูพอดี ฟังก็รู้ว่าไม่ใช่ ก็เลยมาคิดว่า เอ..แล้วเราจะทำอย่างไร ? เราจำเป็นต้องพูดแล้ว ถ้าไม่พูดเดี๋ยวพวกไม่รู้จริงจะพาลูกศิษย์เข้ารกเข้าพงหมด

เห็นพวกพี่ป้าน้าอาเขาจับกลุ่มคุยกันอยู่ ก็เลยไปนั่งร่วมวงกับเขาดื้อๆ “ขออนุญาตผมคุยด้วยได้ไหมครับ ?” เล่นเอาเขาแตกตื่นกันหมดทั้งวงเลย โดยเฉพาะ ป้าน้อย (กานดา) แกประเภทเป็นคนพูดอะไรไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว “แหม...ไอ้หนู ป้าคิดว่าชีวิตนี้เอ็งจะไม่พูดกับใครแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อยๆ หัดพูด คำว่าหัดพูดก็คือ ต้องตั้งสติระมัดระวังไว้ว่า สิ่งที่เราพูดควรจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นเขา ไม่อย่างนั้นจะเป็นวาจาไร้ประโยชน์

ก็เลยเป็นอะไรที่ตลกมาก ใครที่เคยพบอาตมาตอนก่อนอายุ ๒๕ ปี เขาไม่เชื่อหรอกว่าปัจจุบันนี้จะมานั่งพูดได้ทั้งวัน สมัยนั้นเอาแต่นั่งอมลิ้นมากกว่า

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา - 

จุดเริ่มต้นของการปรารถนาพระโพธิญาณของสรรพสัตว์ทุกรูปทุกนาม



พระอาจารย์ กล่าวว่า พระ โพธิสัตว์เป็นผู้มุ่งขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร สิ่งที่ท่านทำเป็นการทำเพื่อคนอื่น ในเมื่อทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะคนจำนวนมาก ก็เลยต้องศึกษาอะไรให้รู้มากที่สุด เพื่อที่จะได้สอนได้ทุกคน ในเมื่อเป็นดังนั้น ความรู้แต่ละขั้นกว่าจะได้ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนอื่นทำ ๑ - ๓ ครั้งอาจจะผ่านเลย ท่านต้องว่าเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ฟังๆ ดูแล้วแปลกๆ

พระโพธิสัตว์มักจะมีปัญญาฉลาดมาก แต่ตอนทำอะไรสักชิ้นหนึ่ง เหมือนกับทดลองแล้วทดลองอีก ทำวิจัยแล้ววิจัยอีก จนกระทั่งมั่นใจจริงๆ ว่าไม่มีแง่มุมไหนลอดผ่านไปได้แล้ว ท่านถึงยอมวางมือ ก็เลยกลายเป็นช้ากว่าคนอื่น

เราเดินขึ้นบันไดมา บางทีไม่ได้นับหรอกว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่พระโพธิสัตว์ท่านต้องรู้ว่าบันไดนั้นทำด้วยอะไร กว้างยาวเท่าไร ใช้วิธีไหนสร้างขึ้นมา ประกอบด้วยวัสดุอะไรบ้าง เพื่อที่ท่านจะได้ทำบันไดให้คนอื่นเขาเดิน ยากกว่ากันขนาดนั้น

การ ปรารถนาพระโพธิญาณไม่ใช่ของแปลก เพราะว่าพุทธประเพณีอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องแสดงก็คือการ เปิดโลก ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเบื้องบน ตั้งแต่พระนิพพาน เบื้องล่างยันอเวจี เห็นตลอดถึงกันหมด ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้เห็นว่า นี่คือผู้ที่เลิศที่สุด ไม่มีใครยิ่งไปกว่า แล้วก็เลยเกิดความปรารถนาลึกๆ ในใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี

ตรงจุดนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรารถนาพระโพธิญาณของสรรพสัตว์ทุกรูปทุกนาม มดแดงแมงน้อยอะไรก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น คราวนี้ก็บำเพ็ญบารมีไปเถอะ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่แค่หลักสูตรตอนสอบ ส่วนตอนเรียนนั่นต่างหาก ไม่ได้นับ บาลีเขาบอกว่า จิตติตัง สัตตะ สังเขยยัง นวะสัง เขยยะ วาจะกัง คิด ว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ ๗ อสงไขย พูดว่าเราจะทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านี่อีก ๙ อสงไขย แล้วตั้งตาตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป รวมแล้ว ๒๐ กับเศษ ๑ ไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายเลย ถ้ากำลังใจไม่แน่วแน่จริงๆ ก็ถอยกันหมด

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา - board.palungjit.com

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาการชอบปรามาสพระรัตนตรัย แก้ไขอย่างไร


ถาม : เป็นอะไรไม่ทราบค่ะ ชอบปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อก่อนไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็น ?

ตอบ : เรื่องปกติ..คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต เพราะถ้าเรายังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ เราก็ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าคนไม่ได้เดินใกล้ประตู เขาไม่กันให้เสียเวลา เพราะฉะนั้น..เขารู้ว่าเราใกล้ความดี เขาถึงกันเรา

ให้เราตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่หวั่นไหว รู้ทัน เราขอขมาพระไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ เขารู้ว่ากันเราไม่อยู่ เขาก็ปล่อย เขาแค่กวนน้ำให้ขุ่น ถ้าเรามัวแต่ไปขุ่นและกังวลอยู่ เราก็ไม่ก้าวหน้าเสียที

ถ้าสติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เราไม่คิดไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไม่หวั่นไหว ขอขมาไปเรื่อย เขาทนคนหน้าด้านไม่ไหว ก็ถอยไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มาอีก เพราะเขารู้ว่าทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้


สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔


วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พบเทวดาใหม่


พบเทวดาใหม่

จาก หนังสือ กฎของกรรม เล่ม ๓

เป็นการบันทึกความจำ ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดีก็ไม่เป็นไร พอฟังรู้เรื่องก็ใช้ได้ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นเหนื่อยมาก เพราะตอนเช้าต้องบันทึกเสียง ต้องทำธนาณัติด้วย ต้องบันทึกเสียด้วยบันทึกเสียงไป ๑ ชั่วโมงก็เหนื่อยเพราะร่างกายไม่ดี แต่ว่านอนพักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็มีความรู้สึกว่า งานที่จะต้องทำมีอยู่หรือไม่ หลังจากนั้น เมื่อคิดถึงเรื่องงานเสร็จ ก็เริ่มจับอานาปานุสติกรรมฐาน ตั้งอารมณ์ให้สบาย พอจับอานาปานุสติพอหายใจเข้า ไม่ทันจะหายใจออก จิตก็เริ่มเงียบ เมื่อจิตเริ่มเรียบก็ได้ยินเสียงว่า วันนี้ก่อนที่จะไปสวรรค์ ให้ไปสำนักงานผมก่อน นั่นเป็นเสียงของพระยายมก็หันไปตามเสียงเห็นท่านพระยายมกับนายบัญชี ท่านมาทั้ง ๒ องค์ เมื่อวันที่ ๒๒ นี่แปลก ท่านมาในรูปเครื่องทรงเต็มยศ มีชฎา มีรองเท้า มีอะไรต่ออะไรเสร็จ แพรวพราวเป็นระยับสวยสดงดงามมาก ก็ถามท่านว่า จะมีเรื่องอะไรรึ ท่านบอกว่า ไปก็แล้วกันไปที่โน่นแล้วจะรู้เองว่ามีเรื่องอะไร ก็ตัดสินใจ ไปตามท่าน พอจะก้าวเดินเครื่องแต่งกายเก่าก็หายไปก็มีเครื่องแต่งกายใหม่เข้ามาสวม เป็นเครื่องแต่งกายชุดสีขาว เพชรสีขาว ขาวล้วนหมด แพรวพราวเป็นระยับ ก็เดินตามท่านพระยายมกับท่านนายบัญชีไป เมื่อใกล้จะถึงวิมานของท่าน ก็ปรากฏว่ามีเทวดายืน ๒ แถวคอยรับ เห็นจะรับพระยายมกับนายบัญชีมากกว่า เพราะท่านเป็นนาย แต่เทวดาทั้งหมดวันนี้ไม่มีใครแต่งตัวชุดทำงาน เป็นการแต่งตัวเต็มยศหมด ครั้งเดินผ่านคณะเทวดาไปแล้ว มองเห็นข้างหน้าเป็นโรงพิธีใหญ่ ความจริงที่นั่นเป็นบริเวณวิมานของพระยายม เป็นโรงพิธีใหญ่ สวยสดงดงามมาก เป็นสีทอง สีทองผสมแก้ว กว้างขวางมาก แล้วก็มีแท่นแก้วผสมทอง ตั้งอยู่กลาง มีเก้าอี้แก้วผสมทองตั้งอยู่เรียงราย ก็รู้ว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของเรา ก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้

เมื่อพระยายมท่านนั่ง นายบัญชีนั่งแล้ว ก็ถามว่าไม่เห็นมีอะไรนี่ เห็นมีแต่ห้องว่าง ๆ ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก็มี พอท่านพูดจบก็มีเทวดานางฟ้ามา เกินแสนคน ที่รู้ว่าเกินแสนคนเพราะพระยายมท่านบอก พระยายมกับนายบัญชี ท่านบอกว่า วันนี้เทวดากับนางฟ้ามาเกินแสนคน แต่งตัวชุดสีขาวล้วน เป็นแก้วขาว มานั่งอยู่เบื้องหน้า ก็แปลกใจเรื่องจะประชุมเทวดา ก็ปรากฏว่ามีอยู่แล้วที่ เทวสภา แต่ที่นั่นแต่งตัวหลากสี ตามบุญบารมีของตน แต่ว่าที่นี่ เทวดาเป็นสีเดียวกันหมด เป็นสีขาวหมด ก็คิดในใจว่าเทวดาพวกนี้ คงจะเป็นเทวดาชั้นยามาพอนึกเท่านี้ท่านพระยายม ท่านก็บอกว่าใช่ เป็นเทวดาชั้นยามา เป็นชั้นที่จะบำเพ็ญกุศลต่อ ก็ถามว่าเทวดาจะมาทำไม ท่านก็มองไปที่เทวดา ก็มีเทวดาองค์หนึ่งบอกว่าผมเพิ่งเกิดใหม่ครับ เพิ่งเป็นเทวดาใหม่ ๆ เพิ่งเกิดวันนี้เอง เพิ่งเกิดพร้อมกัน ๓ องค์ นอกจากนั้นก็เป็นเทวดารุ่นเก่า ก็นึกว่าเทวดาเหล่านี้มาจากไหนบ้าง ก็มีเทวดาหลายท่าน บอกว่า ผม... ฉัน..เคยเกิดเป็นสุนัขของท่านที่วัดท่าซุงและวัดสะพานและก็วัดโพธิ์ เป็นอันว่าสุนัขที่ไปเกิดเป็นเทวดา มองดูแล้วเกินกว่า ๑๐๐ องค์ นี่แปลว่าหมาที่ตายไปแล้วนะเขาเกิดเป็นเทวดาแต่งตัวชุดขาวล้วนเปล่งปลั่งสวย สดงดงามมาก ก็ถามเทวดาองค์นั้นว่า ท่านมีความต้องการอะไรเทวดาใหม่ เทวดาใหม่ก็บอกว่า ผมอยากจะให้ท่านบวชพระให้ผมสักองค์ ก็ถามว่า บวชไปทำไม ผมต้องการอานิสงส์บวชพระครับ ก็ถามว่าในสมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคน ทำไมจึงไม่บวช เธอก็ตอบว่าหาเวลาบวชไม่ได้ มันไม่ว่าง

ก็ถามว่า ไปเป็นเทวดาได้อย่างไร? ทำอย่างไรจึงเกิดในสวรรค์ได้ ในเมื่อไม่ได้บวช เธอก็ตอบว่า อาศัย บุญเล็กน้อย ผมเป็นคนมีกำลังใจไม่แน่นอน การภาวนาก็ไม่แน่นอน การบูชาพระก็ไม่แน่นอน หมายความว่าไม่เป็นเวลาเฉพาะ ถ้านึกขึ้นมาเมื่อไรก็บูชาพระเมื่อนั้น เวลาภาวนาก็เช่นเดียวกัน เวลาภาวนา ๆ ไปจิตมันฟุ้งซ่านก็เลิก ทำบ้างไม่ได้ทำบ้าง มาทำจริงจังตอนป่วยใกล้จะตาย อีตอนป่วยครั้งนี้ อันดับแรก มีการอืดเสียดที่ท้องแล้วก็เจ็บที่คอ กลืนน้ำก็เจ็บ กลืนข้าวก็เจ็บ ในเมื่อมันเจ็บ ก็ต้องทนกลืนกิน นึกในใจว่าการเกิดเป็นคน ก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน ตั้งใจภาวนาว่าพุทโธเคยอ่านในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่ท่านเขียนให้ใช้คำ ภาวนาว่าพุทโธ ก็นึกภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่ศีรษะ ภาวนาไป ภาวนาไป โรคก็กำเริบขึ้น ในที่สุดก็ตาย พอตายมาแล้วปรากฏว่ามีวิมานสวย เครื่องแต่งกายสวย แต่รัศมีก็ดีวิมานก็ดีเครื่องแต่งกายก็ดี สวยสู้คนที่เขาทำบุญบวชพระไม่ได้

ก็ถามว่าในชีวิตหนึ่งน่ะที่คนเขาบวชพระ ไม่มีใครเขาบอกบุญมั่งรึ เธอก็บอกว่ามี แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจทำบุญชัด ทำไปตามที่เขาขอมา เขาขอมาก็ให้ไป บาทนึงบ้าง สองบาทบ้าง ๑๐ บาทบ้าง ๒๐ บาทบ้าง สักแต่ว่าให้ ไม่ตั้งใจทำบุญ ฉะนั้นรัศมีกายของผมก็ดี ร่างกายก็ดี วิมานก็ดี จึงสวยสดงดงาม ไม่เท่าคนที่เขามีอานิสงส์บวชพระ ผมอยากจะให้ท่านจัดการบวชพระให้ผมสักองค์หนึ่ง ก็เลยบอกว่า ไม่ได้หรอก เวลาเป็นคนทำไมไม่นึกถึงความดี ความดีมีเยอะ เขาบวชพระกัน คนเขาตั้งใจทำบุญ ทำไปอย่างนั้นมันเสียเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีศรัทธา ทำไมไม่ตัดสินใจว่า เขาบวชพระ มันได้บุญ เราไม่มีโอกาสจะบวช ก็ร่วมบวชกับเขา ให้ตั้งใจเป็นกุศลแต่นี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นกลับทำเพื่อเป็นการเสียไม่ได้ จะให้ฉันช่วยน่ะ ฉันไม่ช่วยหรอก เพราะเป็นเทวดาแล้วก็พอแล้ว เมื่อเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ทำไมจึงไม่ฟัง พระยายมบอกว่า เทวดาองค์นี้ เพิ่งเกิดวันนี้ครับ เพิ่งเกิดวันนี้ ไปวิมานแล้วก็มาที่นี่

ถามว่า อีก ๒ องค์ มีความต้องการอะไร อีกสององค์ก็ตอบว่าต้องการเหมือนกันครับ แต่ไม่อยากขอ ถามว่าทำไมจึงไม่อยากขอ ผมคิดว่าท่านก็ไม่ให้ ก็เลยบอกว่า ฉันจะให้ทำไม ความจริงสมัยที่เป็นคน เขาก็บอกแล้วว่าทำบุญอย่างนั้นทำบุญอย่างนี้ มีอานิสงส์แบบนั้น มีอานิสงส์แบบนี้ แต่พวกเราไม่เอากัน

จึงหันไปถามเทวดาทั้ง ๒ องค์ว่า ก่อนจะตายในสมัยที่เป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่นี่ ท่านก็บอกว่า บุญ ที่ผมทำน่ะมีหลายอย่าง แต่ว่ามันเป็นบุญผิวเผิน เช่น ๑ การให้ทานก็ให้ก็ให้แบบเทวดาองค์ก่อนน่ะแหละ ขอทานมาก็ให้แบบเสียไม่ได้ เขาทำบุญทอดกฐิน ผ้าป่า บวชพระ มาบอกบุญ ก็ทำประเภทเสียไม่ได้ แล้วต่อมาในวันพระ เขาไปวัดกันก็ไปกับเขา ไปตามประเพณี พระให้ศีลก็รับ แต่ไม่ได้รักษาศีล กลับมาบ้านก็ทำบาปตามเดิม วันดีไม่ละ วันพระบางทีก็ไม่ได้เว้น ก็เลยบอกว่าอาการอย่างนี้ มันควรจะไปนรก ทำไมถึงได้มาเป็นเทวดา เขาบอกว่าผม อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ที่ท่านเขียน แต่ว่าผมไม่เคยรู้จักตัวท่าน จึงมาขอร้องพระยายม บอกอยากจะรู้จักตัว ถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน เธอบอกว่าบ้านอยู่ใกล้เชียงตุง เชียงตุงนี่มันเลยเชียงรายไป ถามเดิมมีอาชีพอะไร ก็บอกว่ามีอาชีพทุกอย่าง แม้แต่ขายฝิ่นก็ขาย เฮโรอีนก็ขาย แต่ลักวัวลักควายไม่เป็น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่จิตก็เป็นกุศลอยู่บ้าง มีพระท่านไปธุดงค์ ท่านก็แนะนำให้ใช้ภาวนา เพราะไม่ต้องลงทุนมากเพราะการลงทุนผมไม่ชอบเงินไม่ค่อยมีด้วย และก็ไม่อยากจะให้ใคร เพราะทรัพย์สินหาได้ยาก ถ้าใช้คำภาวนาหรือบูชาพระ ไม่ต้องลงทุน ผมก็เลยใช้วิธีบูชาพระ กับคำภาวนาเป็นปกติ แล้วก็ใช้เวลาไม่นานนัก ครั้งหนึ่งเพียง ๙ - ๑๐ นาทีก็เลิก จิตก็สงบบ้างไม่สงบบ้าง เป็นอันว่า การปฏิบัติจิตไม่เข้าถึงฌาน ได้แค่อุปจารสมาธิ แต่ก็เอาอารมณ์แน่นอนไม่ได้บางครั้งก็ถึง บางครั้งก็ไม่ถึง บางวันก็ทำ บางวันก็ไม่ได้ทำ ไม่แน่นอนนัก

พอตายมา ก่อนที่จะตาย อาการที่เป็นคือ อาการในทรวงอกเป็นโรคในทรวงอก คือเป็นฝีในท้อง เป็นฝีที่ปอด เขาเรียกว่า วัณโรค ในเมื่อวัณโรคมันถามหา มันมาพบ มันก็จับกิน กินยาสมุนไพรมันก็ไม่หาย ให้หมอฉีดยาก็ฉีดไม่ได้มากเพราะสตางค์ไม่มีหมอเขาเอาเงิน ก็ต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี แต่โรคนี้ดีอย่างที่มันไม่รบกวนอารมณ์ มันไม่มีทุกขเวทนามาก เป็นแต่เพียงว่า กำลังกายไม่ดี การทรงตัวไม่ดี แต่ว่าจิตใจดี เดินไปไหนก็คล่อง มันก็ไม่ไอ เลยไม่เป็นที่รังเกียจของคน

ถามว่าเวลาจะตายอาการเป็นอย่างไร ตอบว่าขณะที่ป่วยผมก็ภาวนาเรื่อย ๆ ภาวนาว่าพุทโธ ๆ อยากจะไปหาท่านที่วัดท่าซุงก็ไม่มีสตางค์ เลยใช้หนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่หลานชายไปเรียนที่กรุงเทพไปซื้อมาจากบ้าน เจ้ากรมเสริมหนังสือเล่มอื่นอ่านก็ไม่ชอบใจ ชอบใจหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เห็นว่าท่านเที่ยวสวรรค์ก็ได้ นรกก็ได้เป็นต้น ก็อยากจะเที่ยวบ้าง ก็เป็นอันว่าไม่มีโอกาสจะเที่ยวเพราะสมาธิไม่ทรงตัวมากนัก แต่รู้สึกว่าเวลาป่วยนี้ขยันภาวนาหน่อย ทำครั้งหนึ่งก็เพียง ๕ นาที ๑๐ นาที หรือไม่ถึงบ้าง ในที่สุดวันจะตาย อาการใหม่มันเกิดขึ้น นั่นคืออาเจียนเป็นโลหิต อาเจียนออกมาเป็นกระโถน ๆ ๒ กระโถนกว่าหมดแรง นอนใจสั่นริก ๆ ลูกเมียญาติพี่น้อง คนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาก็มาดูกัน เขาเอากระโถนเลือดไปตั้งไว้ ทุกคนมองเห็นก็หน้าเสียคิดว่าคราวนี้คงจะตายแน่ หมอก็ไม่มี มีหมอเหมือนกันแต่สตางค์ไม่มีเพราะว่าแถวนั้น มีแพทย์ศาสตร์พาณิชมาก แพทย์ศาสตร์เมตตาบารมีนี่หาน้อย ก็เลยต้องทนกินยาสมุนไพร มันก็ไม่ถูก ในที่สุดภาวนาไปภาวนามา ก่อนจะตายก็เห็นพระเห็นภาพพระพุทธรูปลอยอยู่ข้างหน้า ก็ดีใจว่าเราเห็นพระ หลังจากนั้นจิตก็หลุดออกจากร่างกาย

อีตอนจิตหลุดนี่บรรดาท่านทั้งหลาย ตอนนั้นทุกขเวทนามันจะบรรเทา มันจะไม่มีทุกขเวทนาเลย จิตมันรู้สึกเป็นสุข ร่างกายก็เป็นสุข อาหารป่วยต่าง ๆ ไม่ปรากฏ อาการมันมี แต่ไม่ปรากฏ ในด้านจิตใจ จิตสงบ ภาวนาไปภาวนามา แต่จิตไม่ถึงฌานก็ตาย

อีตอนตาย นี่ท่านผมไม่รู้สึกตัวว่าตายและไม่รู้ว่าออกมาจากร่างกายเมื่อไร มันรู้สึกต่อเมื่อมายืนอยู่ข้างนอกแล้ว เห็นร่างกายที่นอนแบบอยู่ร่างกายซูบผอมเห็นเลือดในกระโถน ๒ กระโถนเศษ ก็ยืนมองอยู่คิดว่าร่างกายที่แสนจะสกปรกเราอยู่กับมันได้อย่างไรตั้ง ๖๐ ปีเศษ เราทนทุกขเวทนาอยู่กับร่างกาย ๖๐ ปีเศษ ร่างกายก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกมันมีน้ำเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่อยากจะเข้าไปอีก

มาดูร่างกายใหม่ ก็รู้สึกมีร่างกายเบา แต่งตัวสวย มีเครื่องประดับสวย แก้วก็ขาว เป็นเพชรขาวทั้งหมด พื้นเสื้อผ้าก็ขาว ขยับตัวก็เบา ก็มีความรู้สึกว่า เราอยากจะไปที่ใดที่หนึ่ง ที่เราควรจะไปได้ ก็ปรากฏว่า ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ชั้นยามา ชั้นยามานี่แต่งตัวสีขาวหมด

พอเข้าในวิมานเรียบร้อยแล้วก็ลองดูทิพย์สมบัติ เห็นบริวารก็มาก ทิพยสมบัติก็มาก สวยสดงดงาม วิมานก็ขาวสวย มีบริเวณกว้าง นั่งนึกถึงความเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่ประมาทเราจะดีกว่านี้ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็มีเสียงบอกว่าเวลานี้พระยายมกับนายบัญชีสั่งจัดวิมาน เป็นพิเศษเพื่อรอรับเทวดาใหม่วันนี้ ท่านจะไปรับ ฤๅษีลิงดำมา ถ้าขืนไปช้าจะไม่ทัน เพราะว่าตามปรกติ ฤๅษีลิงดำ จะไปเทวสภาเสมอทุกวัน เมื่อฟังข่าวว่าฤๅษีลิงดำก็ดีใจว่าเราไม่เคยเห็นตัวท่าน ไม่เคยรู้จักหน้าท่านเห็นแต่หนังสือหลวงพ่อปาน อ่านแล้วชอบอกชอบใจมาก จึงได้ออกจากวิมานตรงมาที่นี่ขอรับ

ก็ถามองค์ที่ ๓ ว่า ต้องการอะไรรึ? องค์ที่ ๓ บอกว่าผมต้องการเหมือนกันแต่ไม่อยากบอก บอกแล้วท่านก็ไม่ทำให้ เธอหันมาบอกองค์ที่ ๒ ว่าเมื่อกี้นี้ไม่อยากบอก แต่บอกได้ แต่ไม่ทำหรอก บอกก็ไม่ทำให้เพราะมีพระพุทธเจ้ามาเทศน์อยู่แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าไปเทศน์ทุกวันที่เทวสภาอยากจะได้อะไร องค์ที่สองบอกอยากจะได้สังฆทาน เพราะวิมานใกล้ ๆ เขาถวายสังฆทานเป็นปกติ ที่ท่านไปซอยสายลมบ้าง เขามาถวายที่วัดบ้าง วิมานของเขาใหญ่มาก แล้วก็สวยมาก แสงของวิมานก็แสงสว่างมาก ตัวเขาก็มีเครื่องประดับสวย แสงสว่างก็มากกว่าผมเยอะ ผมก็อยากจะให้ท่านถวายสังฆทานให้ ก็เลยบอกว่า ฉันไม่ทำหรอก เมื่อเป็นมนุษย์รู้อยู่แล้วว่าอะไรดีไม่ดี ทำไมจึงไม่ทำ แกก็ตอบว่าผมเป็นคนจนครับ ก็เลยบอกว่า คนจนทำไมจะถวายสังฆทานไม่ได้ ถ้าเราไม่มีเงิน เอาข้าวสวยสัก ๑ ทัพพี ไม่มีกับข้าวก็เกลือสักก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นกับกิน ไปถวายในหมู่ของพระไม่ต้องมาตั้งท่าถวายว่า อิมานิ มยัง ภันเต ไม่ต้องว่าอะไรทั้งหมด เอาไปถวายพระที่วัด พระมีเกิน ๕ องค์ พระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เขาถือเป็นสังฆทานเท่านี้มันก็เป็นสังฆทาน แล้วทำไมจะต้องรอเงินมาก ๆ
แกบอกว่าทายกเขาอยู่บ้างบ้านเขาแนะนำว่าถวายสังฆทานต้องมีปิ่นโตถวาย พระองค์ละ ๒ เถา กับข้าว ๑ เถา ขนม ๑ เถา ข้าวสุกอีก ๑ กาละมัง ให้นิมนต์พระมา ๕ องค์ขึ้นไปจึงจะเป็นสังฆทาน นี่ผมพบทายกโง่ ๆ แบบนี้ ผมก็เลยโง่เหมือนทายก เป็นอันว่าการถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องใช้เงินมากใช่ไหม ก็เลยบอกว่าไม่ต้องใช้มาก เรามีน้อยทำน้อย ถ้ามีเงินหนึ่งสตางค์ ก็เข้าไปในวัด บอกผมขอถวายเงินหนึ่งสตางค์นี้เป็นสังฆทานครับเท่านั้น ก็จะมีอานิสงส์ สังฆทาน แกบอกว่าน่าเสียดาย

ก็เลยถามว่า พระพุทธเจ้าเคยไปเทศน์ที่ เทวสภา แล้วทำไมจึงไม่ฟัง พระยายมก็บอกว่าเทวดาองค์นี้เพิ่งเกิดเหมือนกันครับ เพิ่งเกิดวันนี้ทั้งหมด ๓ องค์ ที นี้มองไปดูเทวดาข้างหลัง เอ๊ะ ขาวพรึบเต็มไปหมด เป็นเทวดารุ่นใหม่บ้าง รุ่นเก่าบาง แต่ว่าทุกองค์ผ่านสำนักพระพุทธเจ้า มาแล้วเคยไปเที่ยวนิพพานมาแล้ว ก็ถามว่าท่านทั้งหลายต้องการอะไรบ้างมีไหม? ใครต้องการอะไรยกมือขึ้นหรือบอกมา ทุกองค์พนมมือบอกว่าเต็มแล้วครับ ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเต็มแล้ว พระพุทธเจ้าเทศน์ฟังง่าย เข้าใจง่าย ปฏิบัติง่ายผมทำได้ทุกอย่างครับ

เทวดา ๓ องค์ ก็บอกว่า ผมก็อยากจะเห็นพระพุทธเจ้าบ้างทำไมจะได้เห็น ก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่าน ฉันบังคับท่านไม่ได้ ฉะนั้นในเมื่อพูดเท่านี้ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ท่านก็มาประทับที่พระแท่นสูงก็หันไปกราบท่าน ทุกองค์ก็ทราบเมื่อกราบท่านเสร็จท่านก็บอกว่า

เทวดาทั้งหลาย ตถาคตมานี่ เพื่อจะเทศน์สงเคราะห์ เทวดารุ่งเก่าที่ฟังเทศน์ไปแล้ว รู้สึกว่ามีสภาวะดีมาก เวลานี้มีเครื่องประดับสวยกว่าเดิม รัศมีกายสว่างกว่าเดิม ก็มีเทวดาใหม่เพียงแค่ ๓ องค์ ที่รัศมีกายไม่เท่าเขา เครื่องประดับ ไม่สดสวยเท่าเขา เพิ่งเกิดใหม่ ฉะนั้นทั้งเก่าและใหม่จงฟังเทศน์ ให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย การเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า บนสวรรค์ ไม่ใช่เป็นตลอดกาลตลอดสมัย เพราะต้องมีตาย เป็นที่สุด โน่นนรก อยู่ใกล้นรก เห็นนรกไหม ทุกองค์บอกว่าเห็น

อย่าลืมว่า ทุกองค์ ยังมีบาป แต่เทวดารุ่นเก่าที่ฟังเทศน์ไปแล้ว ตัดบาปได้แล้ว มีกำลังเหนือบาป แต่ ๓ องค์นี้ยังมีกำลังไม่เหนือ ให้ตั้งใจ เคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ สามอย่าง นึกไว้อย่างให้ขาดว่าเรามีความเคารพ

ประการต่อไป ตั้งใจรักษาศีล แล้วก็โน่น นิพพาน ท่านก็ชี้ขึ้นข้างบนเห็นสภาพพระนิพพานใสแจ๋ว เห็นชัดเจนหมด ใครนั่งอยู่ ใครเดินอยู่ ใครทำอะไรอยู่ เห็นหมด นิพพานเป็นแดนที่มีความสุข มีวิมานอยู่หลังละองค์ วิมาน ๑ หลังต่อ พระอรหันต์ ๑ องค์ ไม่ปนกัน ถ้าต้องการไปนิพพานให้ตัดสินใจ แบบนี้ว่า

การ เกิดเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ ก่อนจะตายเราก็ทุกข์ ขณะมีร่างกายดีอยู่ เราก็ทุกข์เพราะการงาน เราไม่ต้องการเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาก็ดีจริงแหล่ะ แต่ทว่า มันดีไม่ได้นาน ไม่ช้าก็หมดบุญวาสนาบารมี เราไม่ต้องการอีก เราต้องการพระนิพพานจุดเดียว ทำใจได้ไหม? เทวดาทั้ง ๓ องค์ก็บอกว่า ทำใจได้แล้วขอรับ ดีใจเหลือเกินที่มาพบพระพุทธเจ้าก็กราบ ๓ ครั้ง ถึงเวลา พระพุทธเจ้าก็ลากลับ อาตมาก็กลับ พระยายมก็เข้าที่พัก เทวดาทั้งหมดก็กลับ กลับหรือไม่กลับก็ต้องกลับเพราะเวลามันหมดแล้ว

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน นี่เป็นการบันทึกความจำ จำมาได้แล้วก็บันทึกไว้ ไว้วันหน้า เผื่อใครเขาต้องการจะใช้ ก็ใช้ได้ ถึงเสียงจะไม่ดีก็ไม่เป็นไร พอฟังได้เรื่องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทุกท่าน ทุกคน สวัสดี

ที่มา - board.palungjit.com

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin