"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พบเทวดาใหม่


พบเทวดาใหม่

จาก หนังสือ กฎของกรรม เล่ม ๓

เป็นการบันทึกความจำ ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดีก็ไม่เป็นไร พอฟังรู้เรื่องก็ใช้ได้ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นเหนื่อยมาก เพราะตอนเช้าต้องบันทึกเสียง ต้องทำธนาณัติด้วย ต้องบันทึกเสียด้วยบันทึกเสียงไป ๑ ชั่วโมงก็เหนื่อยเพราะร่างกายไม่ดี แต่ว่านอนพักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็มีความรู้สึกว่า งานที่จะต้องทำมีอยู่หรือไม่ หลังจากนั้น เมื่อคิดถึงเรื่องงานเสร็จ ก็เริ่มจับอานาปานุสติกรรมฐาน ตั้งอารมณ์ให้สบาย พอจับอานาปานุสติพอหายใจเข้า ไม่ทันจะหายใจออก จิตก็เริ่มเงียบ เมื่อจิตเริ่มเรียบก็ได้ยินเสียงว่า วันนี้ก่อนที่จะไปสวรรค์ ให้ไปสำนักงานผมก่อน นั่นเป็นเสียงของพระยายมก็หันไปตามเสียงเห็นท่านพระยายมกับนายบัญชี ท่านมาทั้ง ๒ องค์ เมื่อวันที่ ๒๒ นี่แปลก ท่านมาในรูปเครื่องทรงเต็มยศ มีชฎา มีรองเท้า มีอะไรต่ออะไรเสร็จ แพรวพราวเป็นระยับสวยสดงดงามมาก ก็ถามท่านว่า จะมีเรื่องอะไรรึ ท่านบอกว่า ไปก็แล้วกันไปที่โน่นแล้วจะรู้เองว่ามีเรื่องอะไร ก็ตัดสินใจ ไปตามท่าน พอจะก้าวเดินเครื่องแต่งกายเก่าก็หายไปก็มีเครื่องแต่งกายใหม่เข้ามาสวม เป็นเครื่องแต่งกายชุดสีขาว เพชรสีขาว ขาวล้วนหมด แพรวพราวเป็นระยับ ก็เดินตามท่านพระยายมกับท่านนายบัญชีไป เมื่อใกล้จะถึงวิมานของท่าน ก็ปรากฏว่ามีเทวดายืน ๒ แถวคอยรับ เห็นจะรับพระยายมกับนายบัญชีมากกว่า เพราะท่านเป็นนาย แต่เทวดาทั้งหมดวันนี้ไม่มีใครแต่งตัวชุดทำงาน เป็นการแต่งตัวเต็มยศหมด ครั้งเดินผ่านคณะเทวดาไปแล้ว มองเห็นข้างหน้าเป็นโรงพิธีใหญ่ ความจริงที่นั่นเป็นบริเวณวิมานของพระยายม เป็นโรงพิธีใหญ่ สวยสดงดงามมาก เป็นสีทอง สีทองผสมแก้ว กว้างขวางมาก แล้วก็มีแท่นแก้วผสมทอง ตั้งอยู่กลาง มีเก้าอี้แก้วผสมทองตั้งอยู่เรียงราย ก็รู้ว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของเรา ก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้

เมื่อพระยายมท่านนั่ง นายบัญชีนั่งแล้ว ก็ถามว่าไม่เห็นมีอะไรนี่ เห็นมีแต่ห้องว่าง ๆ ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก็มี พอท่านพูดจบก็มีเทวดานางฟ้ามา เกินแสนคน ที่รู้ว่าเกินแสนคนเพราะพระยายมท่านบอก พระยายมกับนายบัญชี ท่านบอกว่า วันนี้เทวดากับนางฟ้ามาเกินแสนคน แต่งตัวชุดสีขาวล้วน เป็นแก้วขาว มานั่งอยู่เบื้องหน้า ก็แปลกใจเรื่องจะประชุมเทวดา ก็ปรากฏว่ามีอยู่แล้วที่ เทวสภา แต่ที่นั่นแต่งตัวหลากสี ตามบุญบารมีของตน แต่ว่าที่นี่ เทวดาเป็นสีเดียวกันหมด เป็นสีขาวหมด ก็คิดในใจว่าเทวดาพวกนี้ คงจะเป็นเทวดาชั้นยามาพอนึกเท่านี้ท่านพระยายม ท่านก็บอกว่าใช่ เป็นเทวดาชั้นยามา เป็นชั้นที่จะบำเพ็ญกุศลต่อ ก็ถามว่าเทวดาจะมาทำไม ท่านก็มองไปที่เทวดา ก็มีเทวดาองค์หนึ่งบอกว่าผมเพิ่งเกิดใหม่ครับ เพิ่งเป็นเทวดาใหม่ ๆ เพิ่งเกิดวันนี้เอง เพิ่งเกิดพร้อมกัน ๓ องค์ นอกจากนั้นก็เป็นเทวดารุ่นเก่า ก็นึกว่าเทวดาเหล่านี้มาจากไหนบ้าง ก็มีเทวดาหลายท่าน บอกว่า ผม... ฉัน..เคยเกิดเป็นสุนัขของท่านที่วัดท่าซุงและวัดสะพานและก็วัดโพธิ์ เป็นอันว่าสุนัขที่ไปเกิดเป็นเทวดา มองดูแล้วเกินกว่า ๑๐๐ องค์ นี่แปลว่าหมาที่ตายไปแล้วนะเขาเกิดเป็นเทวดาแต่งตัวชุดขาวล้วนเปล่งปลั่งสวย สดงดงามมาก ก็ถามเทวดาองค์นั้นว่า ท่านมีความต้องการอะไรเทวดาใหม่ เทวดาใหม่ก็บอกว่า ผมอยากจะให้ท่านบวชพระให้ผมสักองค์ ก็ถามว่า บวชไปทำไม ผมต้องการอานิสงส์บวชพระครับ ก็ถามว่าในสมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคน ทำไมจึงไม่บวช เธอก็ตอบว่าหาเวลาบวชไม่ได้ มันไม่ว่าง

ก็ถามว่า ไปเป็นเทวดาได้อย่างไร? ทำอย่างไรจึงเกิดในสวรรค์ได้ ในเมื่อไม่ได้บวช เธอก็ตอบว่า อาศัย บุญเล็กน้อย ผมเป็นคนมีกำลังใจไม่แน่นอน การภาวนาก็ไม่แน่นอน การบูชาพระก็ไม่แน่นอน หมายความว่าไม่เป็นเวลาเฉพาะ ถ้านึกขึ้นมาเมื่อไรก็บูชาพระเมื่อนั้น เวลาภาวนาก็เช่นเดียวกัน เวลาภาวนา ๆ ไปจิตมันฟุ้งซ่านก็เลิก ทำบ้างไม่ได้ทำบ้าง มาทำจริงจังตอนป่วยใกล้จะตาย อีตอนป่วยครั้งนี้ อันดับแรก มีการอืดเสียดที่ท้องแล้วก็เจ็บที่คอ กลืนน้ำก็เจ็บ กลืนข้าวก็เจ็บ ในเมื่อมันเจ็บ ก็ต้องทนกลืนกิน นึกในใจว่าการเกิดเป็นคน ก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน ตั้งใจภาวนาว่าพุทโธเคยอ่านในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่ท่านเขียนให้ใช้คำ ภาวนาว่าพุทโธ ก็นึกภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่ศีรษะ ภาวนาไป ภาวนาไป โรคก็กำเริบขึ้น ในที่สุดก็ตาย พอตายมาแล้วปรากฏว่ามีวิมานสวย เครื่องแต่งกายสวย แต่รัศมีก็ดีวิมานก็ดีเครื่องแต่งกายก็ดี สวยสู้คนที่เขาทำบุญบวชพระไม่ได้

ก็ถามว่าในชีวิตหนึ่งน่ะที่คนเขาบวชพระ ไม่มีใครเขาบอกบุญมั่งรึ เธอก็บอกว่ามี แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจทำบุญชัด ทำไปตามที่เขาขอมา เขาขอมาก็ให้ไป บาทนึงบ้าง สองบาทบ้าง ๑๐ บาทบ้าง ๒๐ บาทบ้าง สักแต่ว่าให้ ไม่ตั้งใจทำบุญ ฉะนั้นรัศมีกายของผมก็ดี ร่างกายก็ดี วิมานก็ดี จึงสวยสดงดงาม ไม่เท่าคนที่เขามีอานิสงส์บวชพระ ผมอยากจะให้ท่านจัดการบวชพระให้ผมสักองค์หนึ่ง ก็เลยบอกว่า ไม่ได้หรอก เวลาเป็นคนทำไมไม่นึกถึงความดี ความดีมีเยอะ เขาบวชพระกัน คนเขาตั้งใจทำบุญ ทำไปอย่างนั้นมันเสียเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีศรัทธา ทำไมไม่ตัดสินใจว่า เขาบวชพระ มันได้บุญ เราไม่มีโอกาสจะบวช ก็ร่วมบวชกับเขา ให้ตั้งใจเป็นกุศลแต่นี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นกลับทำเพื่อเป็นการเสียไม่ได้ จะให้ฉันช่วยน่ะ ฉันไม่ช่วยหรอก เพราะเป็นเทวดาแล้วก็พอแล้ว เมื่อเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ทำไมจึงไม่ฟัง พระยายมบอกว่า เทวดาองค์นี้ เพิ่งเกิดวันนี้ครับ เพิ่งเกิดวันนี้ ไปวิมานแล้วก็มาที่นี่

ถามว่า อีก ๒ องค์ มีความต้องการอะไร อีกสององค์ก็ตอบว่าต้องการเหมือนกันครับ แต่ไม่อยากขอ ถามว่าทำไมจึงไม่อยากขอ ผมคิดว่าท่านก็ไม่ให้ ก็เลยบอกว่า ฉันจะให้ทำไม ความจริงสมัยที่เป็นคน เขาก็บอกแล้วว่าทำบุญอย่างนั้นทำบุญอย่างนี้ มีอานิสงส์แบบนั้น มีอานิสงส์แบบนี้ แต่พวกเราไม่เอากัน

จึงหันไปถามเทวดาทั้ง ๒ องค์ว่า ก่อนจะตายในสมัยที่เป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่นี่ ท่านก็บอกว่า บุญ ที่ผมทำน่ะมีหลายอย่าง แต่ว่ามันเป็นบุญผิวเผิน เช่น ๑ การให้ทานก็ให้ก็ให้แบบเทวดาองค์ก่อนน่ะแหละ ขอทานมาก็ให้แบบเสียไม่ได้ เขาทำบุญทอดกฐิน ผ้าป่า บวชพระ มาบอกบุญ ก็ทำประเภทเสียไม่ได้ แล้วต่อมาในวันพระ เขาไปวัดกันก็ไปกับเขา ไปตามประเพณี พระให้ศีลก็รับ แต่ไม่ได้รักษาศีล กลับมาบ้านก็ทำบาปตามเดิม วันดีไม่ละ วันพระบางทีก็ไม่ได้เว้น ก็เลยบอกว่าอาการอย่างนี้ มันควรจะไปนรก ทำไมถึงได้มาเป็นเทวดา เขาบอกว่าผม อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ที่ท่านเขียน แต่ว่าผมไม่เคยรู้จักตัวท่าน จึงมาขอร้องพระยายม บอกอยากจะรู้จักตัว ถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน เธอบอกว่าบ้านอยู่ใกล้เชียงตุง เชียงตุงนี่มันเลยเชียงรายไป ถามเดิมมีอาชีพอะไร ก็บอกว่ามีอาชีพทุกอย่าง แม้แต่ขายฝิ่นก็ขาย เฮโรอีนก็ขาย แต่ลักวัวลักควายไม่เป็น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่จิตก็เป็นกุศลอยู่บ้าง มีพระท่านไปธุดงค์ ท่านก็แนะนำให้ใช้ภาวนา เพราะไม่ต้องลงทุนมากเพราะการลงทุนผมไม่ชอบเงินไม่ค่อยมีด้วย และก็ไม่อยากจะให้ใคร เพราะทรัพย์สินหาได้ยาก ถ้าใช้คำภาวนาหรือบูชาพระ ไม่ต้องลงทุน ผมก็เลยใช้วิธีบูชาพระ กับคำภาวนาเป็นปกติ แล้วก็ใช้เวลาไม่นานนัก ครั้งหนึ่งเพียง ๙ - ๑๐ นาทีก็เลิก จิตก็สงบบ้างไม่สงบบ้าง เป็นอันว่า การปฏิบัติจิตไม่เข้าถึงฌาน ได้แค่อุปจารสมาธิ แต่ก็เอาอารมณ์แน่นอนไม่ได้บางครั้งก็ถึง บางครั้งก็ไม่ถึง บางวันก็ทำ บางวันก็ไม่ได้ทำ ไม่แน่นอนนัก

พอตายมา ก่อนที่จะตาย อาการที่เป็นคือ อาการในทรวงอกเป็นโรคในทรวงอก คือเป็นฝีในท้อง เป็นฝีที่ปอด เขาเรียกว่า วัณโรค ในเมื่อวัณโรคมันถามหา มันมาพบ มันก็จับกิน กินยาสมุนไพรมันก็ไม่หาย ให้หมอฉีดยาก็ฉีดไม่ได้มากเพราะสตางค์ไม่มีหมอเขาเอาเงิน ก็ต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี แต่โรคนี้ดีอย่างที่มันไม่รบกวนอารมณ์ มันไม่มีทุกขเวทนามาก เป็นแต่เพียงว่า กำลังกายไม่ดี การทรงตัวไม่ดี แต่ว่าจิตใจดี เดินไปไหนก็คล่อง มันก็ไม่ไอ เลยไม่เป็นที่รังเกียจของคน

ถามว่าเวลาจะตายอาการเป็นอย่างไร ตอบว่าขณะที่ป่วยผมก็ภาวนาเรื่อย ๆ ภาวนาว่าพุทโธ ๆ อยากจะไปหาท่านที่วัดท่าซุงก็ไม่มีสตางค์ เลยใช้หนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่หลานชายไปเรียนที่กรุงเทพไปซื้อมาจากบ้าน เจ้ากรมเสริมหนังสือเล่มอื่นอ่านก็ไม่ชอบใจ ชอบใจหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เห็นว่าท่านเที่ยวสวรรค์ก็ได้ นรกก็ได้เป็นต้น ก็อยากจะเที่ยวบ้าง ก็เป็นอันว่าไม่มีโอกาสจะเที่ยวเพราะสมาธิไม่ทรงตัวมากนัก แต่รู้สึกว่าเวลาป่วยนี้ขยันภาวนาหน่อย ทำครั้งหนึ่งก็เพียง ๕ นาที ๑๐ นาที หรือไม่ถึงบ้าง ในที่สุดวันจะตาย อาการใหม่มันเกิดขึ้น นั่นคืออาเจียนเป็นโลหิต อาเจียนออกมาเป็นกระโถน ๆ ๒ กระโถนกว่าหมดแรง นอนใจสั่นริก ๆ ลูกเมียญาติพี่น้อง คนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาก็มาดูกัน เขาเอากระโถนเลือดไปตั้งไว้ ทุกคนมองเห็นก็หน้าเสียคิดว่าคราวนี้คงจะตายแน่ หมอก็ไม่มี มีหมอเหมือนกันแต่สตางค์ไม่มีเพราะว่าแถวนั้น มีแพทย์ศาสตร์พาณิชมาก แพทย์ศาสตร์เมตตาบารมีนี่หาน้อย ก็เลยต้องทนกินยาสมุนไพร มันก็ไม่ถูก ในที่สุดภาวนาไปภาวนามา ก่อนจะตายก็เห็นพระเห็นภาพพระพุทธรูปลอยอยู่ข้างหน้า ก็ดีใจว่าเราเห็นพระ หลังจากนั้นจิตก็หลุดออกจากร่างกาย

อีตอนจิตหลุดนี่บรรดาท่านทั้งหลาย ตอนนั้นทุกขเวทนามันจะบรรเทา มันจะไม่มีทุกขเวทนาเลย จิตมันรู้สึกเป็นสุข ร่างกายก็เป็นสุข อาหารป่วยต่าง ๆ ไม่ปรากฏ อาการมันมี แต่ไม่ปรากฏ ในด้านจิตใจ จิตสงบ ภาวนาไปภาวนามา แต่จิตไม่ถึงฌานก็ตาย

อีตอนตาย นี่ท่านผมไม่รู้สึกตัวว่าตายและไม่รู้ว่าออกมาจากร่างกายเมื่อไร มันรู้สึกต่อเมื่อมายืนอยู่ข้างนอกแล้ว เห็นร่างกายที่นอนแบบอยู่ร่างกายซูบผอมเห็นเลือดในกระโถน ๒ กระโถนเศษ ก็ยืนมองอยู่คิดว่าร่างกายที่แสนจะสกปรกเราอยู่กับมันได้อย่างไรตั้ง ๖๐ ปีเศษ เราทนทุกขเวทนาอยู่กับร่างกาย ๖๐ ปีเศษ ร่างกายก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกมันมีน้ำเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่อยากจะเข้าไปอีก

มาดูร่างกายใหม่ ก็รู้สึกมีร่างกายเบา แต่งตัวสวย มีเครื่องประดับสวย แก้วก็ขาว เป็นเพชรขาวทั้งหมด พื้นเสื้อผ้าก็ขาว ขยับตัวก็เบา ก็มีความรู้สึกว่า เราอยากจะไปที่ใดที่หนึ่ง ที่เราควรจะไปได้ ก็ปรากฏว่า ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ชั้นยามา ชั้นยามานี่แต่งตัวสีขาวหมด

พอเข้าในวิมานเรียบร้อยแล้วก็ลองดูทิพย์สมบัติ เห็นบริวารก็มาก ทิพยสมบัติก็มาก สวยสดงดงาม วิมานก็ขาวสวย มีบริเวณกว้าง นั่งนึกถึงความเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่ประมาทเราจะดีกว่านี้ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็มีเสียงบอกว่าเวลานี้พระยายมกับนายบัญชีสั่งจัดวิมาน เป็นพิเศษเพื่อรอรับเทวดาใหม่วันนี้ ท่านจะไปรับ ฤๅษีลิงดำมา ถ้าขืนไปช้าจะไม่ทัน เพราะว่าตามปรกติ ฤๅษีลิงดำ จะไปเทวสภาเสมอทุกวัน เมื่อฟังข่าวว่าฤๅษีลิงดำก็ดีใจว่าเราไม่เคยเห็นตัวท่าน ไม่เคยรู้จักหน้าท่านเห็นแต่หนังสือหลวงพ่อปาน อ่านแล้วชอบอกชอบใจมาก จึงได้ออกจากวิมานตรงมาที่นี่ขอรับ

ก็ถามองค์ที่ ๓ ว่า ต้องการอะไรรึ? องค์ที่ ๓ บอกว่าผมต้องการเหมือนกันแต่ไม่อยากบอก บอกแล้วท่านก็ไม่ทำให้ เธอหันมาบอกองค์ที่ ๒ ว่าเมื่อกี้นี้ไม่อยากบอก แต่บอกได้ แต่ไม่ทำหรอก บอกก็ไม่ทำให้เพราะมีพระพุทธเจ้ามาเทศน์อยู่แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าไปเทศน์ทุกวันที่เทวสภาอยากจะได้อะไร องค์ที่สองบอกอยากจะได้สังฆทาน เพราะวิมานใกล้ ๆ เขาถวายสังฆทานเป็นปกติ ที่ท่านไปซอยสายลมบ้าง เขามาถวายที่วัดบ้าง วิมานของเขาใหญ่มาก แล้วก็สวยมาก แสงของวิมานก็แสงสว่างมาก ตัวเขาก็มีเครื่องประดับสวย แสงสว่างก็มากกว่าผมเยอะ ผมก็อยากจะให้ท่านถวายสังฆทานให้ ก็เลยบอกว่า ฉันไม่ทำหรอก เมื่อเป็นมนุษย์รู้อยู่แล้วว่าอะไรดีไม่ดี ทำไมจึงไม่ทำ แกก็ตอบว่าผมเป็นคนจนครับ ก็เลยบอกว่า คนจนทำไมจะถวายสังฆทานไม่ได้ ถ้าเราไม่มีเงิน เอาข้าวสวยสัก ๑ ทัพพี ไม่มีกับข้าวก็เกลือสักก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นกับกิน ไปถวายในหมู่ของพระไม่ต้องมาตั้งท่าถวายว่า อิมานิ มยัง ภันเต ไม่ต้องว่าอะไรทั้งหมด เอาไปถวายพระที่วัด พระมีเกิน ๕ องค์ พระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เขาถือเป็นสังฆทานเท่านี้มันก็เป็นสังฆทาน แล้วทำไมจะต้องรอเงินมาก ๆ
แกบอกว่าทายกเขาอยู่บ้างบ้านเขาแนะนำว่าถวายสังฆทานต้องมีปิ่นโตถวาย พระองค์ละ ๒ เถา กับข้าว ๑ เถา ขนม ๑ เถา ข้าวสุกอีก ๑ กาละมัง ให้นิมนต์พระมา ๕ องค์ขึ้นไปจึงจะเป็นสังฆทาน นี่ผมพบทายกโง่ ๆ แบบนี้ ผมก็เลยโง่เหมือนทายก เป็นอันว่าการถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องใช้เงินมากใช่ไหม ก็เลยบอกว่าไม่ต้องใช้มาก เรามีน้อยทำน้อย ถ้ามีเงินหนึ่งสตางค์ ก็เข้าไปในวัด บอกผมขอถวายเงินหนึ่งสตางค์นี้เป็นสังฆทานครับเท่านั้น ก็จะมีอานิสงส์ สังฆทาน แกบอกว่าน่าเสียดาย

ก็เลยถามว่า พระพุทธเจ้าเคยไปเทศน์ที่ เทวสภา แล้วทำไมจึงไม่ฟัง พระยายมก็บอกว่าเทวดาองค์นี้เพิ่งเกิดเหมือนกันครับ เพิ่งเกิดวันนี้ทั้งหมด ๓ องค์ ที นี้มองไปดูเทวดาข้างหลัง เอ๊ะ ขาวพรึบเต็มไปหมด เป็นเทวดารุ่นใหม่บ้าง รุ่นเก่าบาง แต่ว่าทุกองค์ผ่านสำนักพระพุทธเจ้า มาแล้วเคยไปเที่ยวนิพพานมาแล้ว ก็ถามว่าท่านทั้งหลายต้องการอะไรบ้างมีไหม? ใครต้องการอะไรยกมือขึ้นหรือบอกมา ทุกองค์พนมมือบอกว่าเต็มแล้วครับ ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเต็มแล้ว พระพุทธเจ้าเทศน์ฟังง่าย เข้าใจง่าย ปฏิบัติง่ายผมทำได้ทุกอย่างครับ

เทวดา ๓ องค์ ก็บอกว่า ผมก็อยากจะเห็นพระพุทธเจ้าบ้างทำไมจะได้เห็น ก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่าน ฉันบังคับท่านไม่ได้ ฉะนั้นในเมื่อพูดเท่านี้ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ท่านก็มาประทับที่พระแท่นสูงก็หันไปกราบท่าน ทุกองค์ก็ทราบเมื่อกราบท่านเสร็จท่านก็บอกว่า

เทวดาทั้งหลาย ตถาคตมานี่ เพื่อจะเทศน์สงเคราะห์ เทวดารุ่งเก่าที่ฟังเทศน์ไปแล้ว รู้สึกว่ามีสภาวะดีมาก เวลานี้มีเครื่องประดับสวยกว่าเดิม รัศมีกายสว่างกว่าเดิม ก็มีเทวดาใหม่เพียงแค่ ๓ องค์ ที่รัศมีกายไม่เท่าเขา เครื่องประดับ ไม่สดสวยเท่าเขา เพิ่งเกิดใหม่ ฉะนั้นทั้งเก่าและใหม่จงฟังเทศน์ ให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย การเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า บนสวรรค์ ไม่ใช่เป็นตลอดกาลตลอดสมัย เพราะต้องมีตาย เป็นที่สุด โน่นนรก อยู่ใกล้นรก เห็นนรกไหม ทุกองค์บอกว่าเห็น

อย่าลืมว่า ทุกองค์ ยังมีบาป แต่เทวดารุ่นเก่าที่ฟังเทศน์ไปแล้ว ตัดบาปได้แล้ว มีกำลังเหนือบาป แต่ ๓ องค์นี้ยังมีกำลังไม่เหนือ ให้ตั้งใจ เคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ สามอย่าง นึกไว้อย่างให้ขาดว่าเรามีความเคารพ

ประการต่อไป ตั้งใจรักษาศีล แล้วก็โน่น นิพพาน ท่านก็ชี้ขึ้นข้างบนเห็นสภาพพระนิพพานใสแจ๋ว เห็นชัดเจนหมด ใครนั่งอยู่ ใครเดินอยู่ ใครทำอะไรอยู่ เห็นหมด นิพพานเป็นแดนที่มีความสุข มีวิมานอยู่หลังละองค์ วิมาน ๑ หลังต่อ พระอรหันต์ ๑ องค์ ไม่ปนกัน ถ้าต้องการไปนิพพานให้ตัดสินใจ แบบนี้ว่า

การ เกิดเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ ก่อนจะตายเราก็ทุกข์ ขณะมีร่างกายดีอยู่ เราก็ทุกข์เพราะการงาน เราไม่ต้องการเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาก็ดีจริงแหล่ะ แต่ทว่า มันดีไม่ได้นาน ไม่ช้าก็หมดบุญวาสนาบารมี เราไม่ต้องการอีก เราต้องการพระนิพพานจุดเดียว ทำใจได้ไหม? เทวดาทั้ง ๓ องค์ก็บอกว่า ทำใจได้แล้วขอรับ ดีใจเหลือเกินที่มาพบพระพุทธเจ้าก็กราบ ๓ ครั้ง ถึงเวลา พระพุทธเจ้าก็ลากลับ อาตมาก็กลับ พระยายมก็เข้าที่พัก เทวดาทั้งหมดก็กลับ กลับหรือไม่กลับก็ต้องกลับเพราะเวลามันหมดแล้ว

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน นี่เป็นการบันทึกความจำ จำมาได้แล้วก็บันทึกไว้ ไว้วันหน้า เผื่อใครเขาต้องการจะใช้ ก็ใช้ได้ ถึงเสียงจะไม่ดีก็ไม่เป็นไร พอฟังได้เรื่องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทุกท่าน ทุกคน สวัสดี

ที่มา - board.palungjit.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin