"พระพุทธศาสนาอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี มันจะอยู่กันได้ยังไง? ก็ตั้งระยะไว้ยาว"
ท่านบอกว่า "ที่ตั้งระยะไว้ยาวนี่เพราะพุทธภูมิยังต้องลาอีกหลายช่วง เป็นช่วง ๆ "
แต่พวกลานี่พวกเต็มทั้งนั้นนะ พวกลานี่หมายความว่าชาตินี้เขาเต็ม แต่ว่ามันเหลืออีกนิดเดียว แต่นี่เราตัดเฉย ๆ จะไม่เอาล่ะ ก็เพราะว่าถ้าพวกไม่ใกล้เต็ม ไม่ใกล้เต็มนี่ไม่ไหว ดันไม่ไหว มันแบบจะทำปริญญาอีกสองเดือนลาออกใช่ไหม แบบพวกนั้นน่ะ ไอ้อะไรมันก็หมดแล้วเหลือแต่ทำวิทยานิพนธ์ใช่ไหม โดยมากต้องเป็นพวกนี้ ท่านบอก ถามท่าน ทำไม ท่านบอกไม่งั้นกำลังสู้ไม่ได้ กำลังที่เข้าไปต่อต้านนี่นะ เข้าไปช่วยหักล้าง ไอ้ความรอบ ๆ มันไม่พอ ถามท่าน ก็สงสัยเห็นสั่งสร้างตำรานี่ ตำรานี่สร้างไม่หมด จะเรียนกันไม่หวัดไม่ไหว ท่านก็บอก สร้างไปตามขั้นตามกำลังของคนในสมัยของเรา
ทีแรกก็ตอนต้นเตาะแตะ ๆ หนักเข้า ๆ ก็มากขึ้นถึงที่สุด คือ เวลานี้ตำราถึงที่สุดแล้ว พอตำราถึงที่สุดก็มาเริ่มฝึกมโนมยิทธิปูพื้นฐานไว้รับ "อภิญญาหก" ไอ้อภิญญาหกนี่ไม่ใช่สมัยของเราฝึกนะ ต้องไปอีกรุ่นหนึ่ง พวกรุ่นโน้นเขามาฝึกกัน "พวกเรานี่" ทัน! ถ้าแกยังไม่ตาย ทัน! เวลาฝึกไม่ใช่ฉันฝึก ฉันแค่ปูพื้นฐานไว้เพื่อรับ "อภิญญาหก" นักเรียนเตรียม "มโนมยิทธิ" นี่นักเรียนเตรียม "อภิญญาหก"
กำลังใจคนมันเข้าไม่ถึงนี่ แค่สุกขวิปัสสโกก็ส่ายหน้าด๊อกแด๊ก ๆ ไปขั้นเตวิชโชเมื่อก่อนก็สอนใครไม่ได้ใช่ไหม นี่กำลังใจมันต้องดีไปตามลำดับ "อภิญญาหก" นี่ต้องเข้มแข็งจริง ๆ ถ้าไม่เข้มแข็งจริง ๆ อย่าไปเอาเลย พังหมดไม่ได้อะไรเลย คือ ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ นะ เพราะว่า หนึ่ง กสิณ ๑๐ ต้องได้ฌาน ๔ หมด ว่าได้ฌาน ๔ ไม่ใช่ฌานทิ้งอย่างที่ทำ ๆ กันนี่ นี่มันเรียกฌานทิ้ง กสิณ ๑๐ นี่ต้องคล่อง นึกจะเข้าเมื่อไรได้ทันที จะต้องไม่เสียเวลาแม้ถึงวินาที นึกปั๊บเข้าฌานได้ตาม มันไม่ใช่ไป ๑ , ๒ , ๓ , หนึ่ง สอง สาม นี่มันไม่ยาก ว่า ๑ , ๔ , ๓ อะไรนี่ เข้าฌานตามลำดับฌาน ตามลำดับกสิณ เข้าฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ เข้าฌานตามลำดับฌาน ตามลำดับกสิณ ว่าเรื่อยกสิณกองเข้า ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ไปไล่แล้วก็ย้อน ๔ , ๓ ,๒ , ๑ ก็ว่าขึ้น ๆ ลง ๆ สนุก! ต้องคล่องจี๋ฌาน หลังจากนั้นก็เข้าฌานสลับฌานสลับกสิณ เลยหลับเลย ไม่ใช่สลับ มันหลับ ( หัวเราะ ) อย่างนี้มั้นต้องอาศัยความเข้มแข็ง ตอนสลับฌานสลับกสิณนี่ ยุ่งเลย! ต้องคล่องจี๋ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าหนึ่งปั๊บจับสัก ๕ นาทีได้ เขี่ยตก ต้องปึ๊บได้! ปวดท้องขี้เต็มที่เข้าฌานได้ อันนั้นจริง ๆ น่ะ วิ่งไปเดินไปนี่จิตเป็นฌานทันที แล้วนี่ก็ต้องทำเป็นปกติ เป็นปกติอย่างนั้นแล้วจึงหันมาจับอภิญญาอีกที อันนี้มันยังไม่เป็นอภิญญานะ ต้องหันมาจับอภิญญาอีกทีหนึ่งเสร็จ แค่หนวดหงอกไม่เป็น ฟันงอกฟันหักหมดแล้วงอกออกมาใหม่
ความจริงอภิญญหาห้านี่น่าจะฝึกบ้างนะ สำคัญตอนได้วาโยกสิณน่ะซิ เหาะลิ่ว ๆ เอ๊ะ! ไปนึกถึงปฐวีกสิณแล้วแข็งตื้อลงไม่ได้แล้ว ( หัวเราะ ) เมื่อก่อนยังนั่งนึก ๆ เอ๊ะ! พระท่านเข้ากสิณนี้ออกกสิณนั้น ถ้าจะเหาะใช้วาโยกสิณ ถ้าจะยืนอยู่บนอากาศใช้ปฐวีกสิณ มันคงยุ่งบรรลัย ไอ้นี่เขาทำได้จริง ๆ มันนึกเอาเฉย ๆ นึกปั๊บมันขึ้นทันทีเป็นทันที ไอ้จิตพอนึกปั๊บมันติดฌาน ๔ ทันที มันก็เป็นทันที สมัยนี้ใครทำได้ สบาย ไปหากินสนามหลวง ( หัวเราะ ) ใช่ไหม เอ้า! เก็บคนละสิบบาทถ้าไม่ให้มือยาวล้วงกระเป๋าเลย ( หัวเราะ ) ใช่ไหม หากินเท่านี้ก็พอ หากินด้านล้วงกระเป๋า ทำมือยาว ๆ ใครไม่สนใจล้วงกระเป๋า ฮึ! หรือเสกเองดีกว่านะ เสกเองก็เป็นแบงก์ครึ่งใบสิ!
ถ้าหากว่าถ้าเขาใช้อภิญญาจะไปต้องทำอะไร จะไปหาทรัพย์สินทำไม ไม่ได้เกิดประโยชน์ เพราะอะไร ต้องการอะไรก็มีจะหาสตังค์ทำไม ใช่ไหม ต้องการมีบ้านโตขนาดไหนก็สำเร็จ อยากจะมีบ้านแก้วก็ได้ อย่างพวกไอ้เบื้อกที่อยู่ชายป่านี่ ที่เขาอยู่กันน่ะ มีบ้านมีช่องที่ไหน ฝนตกก็ไม่เปียก อยากจะให้มีบ้านมันก็มี ไม่อยากให้มีบ้านมันก็ไม่ต้อง ฝนตกไม่ให้เปียกมันก็ไม่เปบียก เอ้า! ฝนอยากตกมา ฉันเดินเฉย ๆ ตกก็ตกสิวะ ไม่ใช่เปียกมันก็ไม่เปียกใช่ไหม และเขาก็อยู่กันอย่างเป็นสุข ก็เลยไม่ต้องทำอะไร ดีไม่ดีเดี๋ยวญวนมาตี เอาไฟล้อมส่งใช้เตโชกสิณใช้ไฟล้อมใช่ไหม ไอ้พวกนั้นอดข้าวตาย ตกนรกอีกแล้ว ( หัวเราะ ) อ้อ..ให้มันกินไฟได้ หิวมาให้ไฟเป็นเนื้อก้อน กินได้
นี่ถ้าหากนี่เขาทำได้นะ ถ้าเขาทำได้มันไม่บาปเขาทำแน่ แต่ก็ทำไม่ได้ หากเขาทำได้ช่วยกันได้แบบนั้น สมัยพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องช่วยไว้เยอะ ใช่ไหม แต่กฎของกรรมมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างพวกศากยะ ที่ถูกฆ่านี่ท่านก็ต้องปล่อยไปตามกำลังของกรรม ไม่ใช่คิดว่าจะไปดักไอ้ ๒๐ มันก็เขาไม่เกี่ยว
เพราะพวกอภิญญาหกเขาต้องมาอีกพวกหนึ่ง พวกสอนอภิญญาหกน่ะเขาจะมาอีกชุดต่างหาก พวกเราพวกปูพื้นฐาน พวกสอนนักเรียนเตรียม โน่น! อภิญญาหกเขาต้องหนุ่ม ไม่งั้นมันเล่นไม่ไหวหรอก จะมาจากพวกไหน พวก "พุทธภูมิ" ทั้งนั้นแหล่ะ! ก็ต้องเป็นพวก "พุทธภูมิ" ที่มีอารมณ์เข้ม!!...
ไอ้นี่มันพัง พุทธพัง ( หัวเราะ ) คือว่า พุทธภูมิที่มีอารมณ์เข้ม อย่างพุทธภูมิที่เต็มในชาตินี้ตัดปลายนิดเดียวแต่ว่าพุทธภูมิเขาช่วยกันได้ และพวกเรียนต่อนี้ต้องเป็นพุทธภูมิหมด แต่หัวหน้าต้องเข้มแข็ง หัวหน้าที่ฝึกอภิญญามันต้องคล่องอภิญญา ไม่คล่องฝึกเขาไง อภิญญาน่าสนุกดีนะ! เล่นกลสนุก! ถ้าฝึกอภิญญาหกนี่ต้องบ้า ๆ บวม ๆ อภิญญาห้า หลวงน้า! คนดีทำไม่ได้ต้องคนบ้า ก็ทุกอย่างทำแล้วก็ต้องพลาด ดีไม่ดีก็หล่นตุ๊บตั๊บ ๆ ไปตามเรื่องตามราว ก็เรียกว่าทุกอย่างทู้ซี้ทุกอย่าง ถ้าพวกอภิญญาห้าเข้ามานี่ พวกหนังสือพิมพ์โจมดีว่าบ้าอีกหลายเดือน เอ้า! พวกนี้บ้า ๆ บวม ๆ เขาทำเหมือนบ้าน่ะใช่ไหม ทำในสิ่งที่เขามันทำไม่ได้ และทำในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือว่าทำสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาก็หาว่าบ้า ๆ บวม ๆ ก็มีเรื่องเสียอยู่เรื่อง ถ้าพระได้น่ะมันวงแคบ มันช่วยเขาได้ยาก เรื่องบ้านเมืองน่ะ มันช่วยได้นิดเดียว ถ้าฆราวาสเขาได้นี่ดี แต่ว่าได้อยู่ในช่วงฌานโลกีย์นะ
"สงคราม" มานี่ แกเข้าเตโชกสิณ เอาไฟล้อมเท่านั้นแหละ ไม่งั้นก็เข้านีลกสิณเดินไม่เห็นอะไร มืดตื้อ .. เดินชนกันตายเลย
"หลวงพ่อคะ ตอนนั้นยังต้องใช้ผู้มีฝีมือช่วยบ้านเมือง บ้านเมืองไม่เจริญถึงช่วย.."
เปล่า ๆ พูดถึงว่าถ้าจะช่วยบ้านเมืองในด้าน "สงคราม" มันใช้ได้ยาก คือ พระนี่ต้องอยู่ในขอบเขตเพื่อการ "ตัดกิเลส" เท่านั้น ถ้าจะเอา "อภิญญา" ไปช่วยก็ช่วยในการเจริญ "ศรัทธา" ให้เขาเกิดความเชื่อมั่น คือว่าทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ให้เห็นเป็นอัศจรรย์ และศรัทธามันก็เกิดได้เท่านั้นเอง
ฉะนั้น สมัยนี้ไม่มีความจำเป็น อย่างสมัยโน้น พระโมคคัลลาน์ นี่ พาหุงสหัสฯ พระโมคคัลลาน์รบกันต้องหลายเรื่องในบท พาหุงฯ ไอ้นั่นเป็นนาคนี่เป็นครุฑตีกัน ไม่รู้พระโมคคัลลาน์นี่ก็ฟังเรื่องแล้วก็เหมือนเรื่องโกหกอีกนั่นแหละ พระทำไมไปรับกับเขายังงั้น แต่ว่าไม่ได้ไปรบให้ตาย พอสู้ไม่ได้ก็เกิดศรัทธา เกิดสงครามใหญ่ ก็หลวงน้า! ที่พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรมาธิราชน่ะ นี่สงครามใหญ่ล่ะ แม่ทัพใหญ่เล่นเองเลย รบกับ พระยาชมภูบดี น่ะ รบกับพระยาชมภูบดี ฑูตคนแรกที่ส่งไปก็คือ พระอินทร์ เป็นราชฑูต
"พระยาชมภูบดีนี่เป็นมนุษย์ใช่ไหมคะ?"
เป็นมนุษย์ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ท่านเก่งคล้าย ๆ พระเจ้าจักรพรรดิราช แต่ไม่ถึงมีเกือกแก้ว มีพระขรรค์แก้วเหมือนกัน แต่ไม่ถึงพระเจ้าจักรพรรดิราช เหาะไปเหาะมาเห็นปราสาทพระเจ้าพิมพิสารสวย เอ๊ะ! ปราสาทของใครสวยกว่าปราสาทกู ไม่ชอบใจเสียแล้ว ลงมาพระขรรค์ฟันยอดปราสาท ฉับเข้าให้! ด้วยอำนาจพระพุทธานุภาพ พระขรรค์บิ่น ( หัวเราะ ) พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันนี่ พระขรรค์บิ่นทำไง โมโหยกเท้ากระทืบยอดปราสาท ยอดปราสาทตำรองเท้าทะลุไปอีก เลยกลับไปบ้าน เอาอวิตาศร แผลงมา "จงไปร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร" ไอ้อวิตาศรยันเข้ามาก็ร้องผิ่ง ๆ กูจะร้อยหูมึง ๆ
พระเจ้าพิมพิสารเห็นท่าไม่ได้การณ์ พระพุทธเจ้าบอกไม่เป็นไร ทำวาโยกสิณหอบศรไป ท่านเข้าวาโยกสิณไม่ต้องไปตั้งท่า พอนึกปั๊บลมหอบศรไป และทราบว่าพระเจ้าชมภูบดีจะเป็นพระอรหันต์ เชิญพระอินทร์มา สั่งให้ไปเชิญพระเจ้าชมภูบดีมา และทางนี้ก็เนรมิตหมด เป็นเมืองแก้วแพรวพราว สวยมีกำแพงเจ็ดชั้น ตั้งแต่กำแพงทองแดงไปถึงกำแพงแก้วเจ็ดประการ ไอ้ถนนทั้งหมดก็เป็นแก้วทั้งหมด แพรวพราว มีอัครมหาเสนาบดี โอ้! ไม่มีพระเลย หาพระไม่มีพระ แต่งตัวแพรวพราวระยิบระยับ
พระอินทร์ไปแปลงเป็นมนุษย์ไปเชิญพระยาชมภูบดี ไปก็ไม่นั่ง เทวดานี่ ก็เล่นเต๊ะต๊ะ ๆ ๆ หนักเข้าแกก็ไม่ยอมมา ไม่ยอมมาพระอินทร์ขว้างจักร จักรลากขามาลงจากแท่น ( หัวเราะ ) โอ้ย ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ ๆ ยอม..จะไป ไป ๆ เอาจักรออกสิ! แกไม่เอาจักรออก ออกไม่ได้ พอจักรออกก็ไม่ไป นี่ถึงจะแน่! ( หัวเราะ ) กูไม่ไปกูไม่กลัว อีตอนเทศน์ตอนนี้สนุก! ถ้าเทศน์ ๓ ธรรมาสน์น่ะ ถ้าหากว่าคอถูก ๆ คอน่ะ ลิเกอย่ามาปะทะเลย ไม่อยู่
เดี๋ยวพอมานั่งแท่น กูไม่ไป! ไม่ไปพระอินทร์เอาใหม่ ขว้างพึ๊บไฟไหม้ปราสาทหมด เอาจักรลากขามานอกปราสาท เผาปราสาทอีก เอ๊ะ! แกเผาบ้านเผาเมือง ฑูตไหนว่ะ? ผลที่สุดหนัก ๆ เข้าก็ไม่ไหวต้องไป แกไม่ตามไปเสียศักดิ์ศรี เสียศักดิ์ศรีทำไง ก็เวลาไปด้วยกำลังจตุรเสนายศใหญ่ พระอินทร์ก็ยอมไป กลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าส่งเณรมาองค์เดียว เณรอนาคามีได้อภิญญา เอามารับเป็นทหาร เป็นพลทหารแน่ะ! แต่งตัวเป็นพลทหารยืนรับ แกเข้าไปยศใหญ่ ไอ้เมืองนี้ แหม..ส่งไอ้พลทหารมารับไม่สมศักดิ์ศรี
ทหารไปรับบอกว่า "ท่านต้องลงมาก่อน..เมืองพระเจ้าธรรมาธิราชอย่าขี่ช้างเข้ามาไม่ได้ เป็นเมืองที่มีบุญญาธิการศักดิ์ศรีใหญ่ ท่านเป็นราชาคนจน"
"ไม่ลง!..ไม่ลงซะอย่างจะว่าไง?" นั่งช้างทำท่าเก๊ก กระชากลงจากคอช้าง แหม..ไอ้ทหารเมืองนี้มันไม่มีมารยาท ( หัวเราะ ) สู้ไม่ได้น่ะ สู้ก็สู้ไม่ได้ ไอ้ทหารเมืองนี้ไม่มีมารยาท ( หัวเราะ ) "แกเป็นทหารชั้นไหน?" บอก "พลทหารครับ!" ถาม "ทำไมเมืองนี้ ข้าเป็นพระราชาจึงส่งพลทหารมา" บอก "แค่พลทหารนี่ ท่านก็ยังมีกำลังยังสู้ไม่ได้ ถ้าเอานายสิบมาท่านตาย.." เอาละสิ! เอ้า! เดินไปทางนี้ แกก็ไปแกก็บ่นพึมพำ ๆ เดินไปพอเข้าเขตถนน ขัดเขมรแล้วสิ พลทหารถาม "ขัดเขมรทำไม?" บอก "แม่น้ำต้องลุยน้ำ" บอก "ไม่ใช่ ถนน!" ค้าน "ถนนห่าอะไร? แม่น้ำ!" บอก "ถนนแก้ว!" โอ้โฮ!! ไอ้เมืองบ้านี่ เอาแก้วมาทำเป็นถนน ( หัวเราะ )
พอถึงร้านแล้วก็มีเมียพระอินทร์ พวกนางฟ้าเขามาตั้งขายของ แกก็เป็นนางฟ้าเสียจริง ๆ พวกนั้น แกก็ทำเนื้อหนาหน่อยน่ะ เอ้าแล้วเข้าไปจีบแม่ค้า ยังไม่ได้จีบเข้าไปทีแรก ไปเห็นเมียพระอินทร์นี่ซิสวย...
ถามทหาร "นี่พระมเหสีพระเจ้าธรรมาธิราชใช่ไหม?" ( หัวเราะ ) บอก "ไม่ใช่ แม่ค้าแผงลอย.." ( หัวเราะ ) แม่ค้าแผงลอยจริง ๆ น่ะ คนนั้นก็ร้อง คนนี้ก็ร้อง พระราชาคนจน นี่เจ้าค่ะ! นั่นเจ้าค่ะ! แหม..เดินไป พอเข้าถึงประตูแรกปั๊บมีพระอรหันต์แต่งตัวเป็นนายประตู สวยกว่าแกมาก ทำท่าจะเข้าไปกราบ นึกว่าพระเจ้าธรรมาธิราช พลทหารบอก "ไม่ใช่ นายประตูนายทหารเฝ้ายาม.." ( หัวเราะ ) แหม..แย่เรื่อย เข้าไปถึงประตูทองแดง ประตูทองคำ ประตูแก้ว เข้าไปก็แพรวพราวไปหมด ท่านก็มอง แหม..วิจิตรพิศดาร
แกก็เข้าไปถึงกลุ่มใหญ่ปั๊บ มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร มีเป็นพระมหาอำมาตย์น่ะ มีใครต่อใคร ไม่มีพระเลยหาพระไม่ได้ พระเจ้าธรรมาธิราชทรงสง่า คนนำบอก "นี่พระเจ้าธรรมาธิราช" พอเห็นพระเจ้าธรรมาธิราชก็เกิดขัตติยมานะ ถือว่าตัวมีฤทธิ์มาก ก็ตั้งท่าจะสู้ เดินองอาจเข้าไป แกบอกว่าเอ้า! นั่งลงกราบถวายบังคม
บอก "เราเป็นพระราชาเอกในโลก ไม่มีใครมีอานุภาพเท่า คำว่าไหว้ไม่มีในที่นี้"
แหม..เต๊ะท่าเสียแล้ว คำว่าไม่มีมันเล่นก็ไม่ยาก พระโมคคัลลาน์ดีดมือทีเดียวหมอบเลย ( หัวเราะ ) ไม่ใช่หมอบ ฟุบ! ไอ้เมืองห่านี่ แหม..มีลมวูบ ( หัวเราะ ) แกนั่งด่าตลอด เจี๊ยวจ๊าว ๆ ผลที่สุดก็ถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่าทำไมถึงไม่มา แกก็ว่าอะไรต่ออะไรป้วนเปี้ยนไปตามเรื่องตามราว ผลที่สุดก็เอางี้ซิ จะให้เรากลัวก็ต้องแสดงฤทธิ์ให้ดูก่อน
พระพุทธเจ้าบอกก็ดี จะได้รู้ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง ท่านมีอะไรว่ามาเลย เขาขว้างจักร ขว้างจักรไปผลุบเข้ากระบอกไปเลย ( หัวเราะ ) แผลงศร! พอแผลงศร พระพุทธเจ้าท่านก็เอาด้วย แกก็แผลงบ้าง หนักเข้า ๆ ๆ ก็สิ้น ศรสู้กันตีมาตีไปตีไปตีมา ไอ้ศรของพระยาชมภูบดีสู้ไม่ได้ หลบเข้ากระบอก หลบเข้าก็ตีกระบอกพัง ( หัวเราะ ) วิ่งไปทางไหนก็ตีซะหักหมดเลย ป่นปี้หมดเลย และแกก็ทำทุกอย่าง แกเล่นจนแกหมดอาวุธนะ แผลงศร! ใช้พระขรรค์ควงให้เกิดไฟ เกิดลม! มันก็ด้านหมด หนักเข้า ๆ ๆ หมดท่า...
อ้ะ! ท่านเอามั่ง บอกท่านเอามั่ง เราหมดแล้ว พระพุทธเจ้าเข้าเตโชกสิณล้อม ไฟใกล้เข้า ๆ ๆ ก็ร้องเจี๊ยก ( หัวเราะ ) ร้องเจี๊ยกกลัวแล้ว ๆ ถามกลัวแน่หรือ บอกกลัวแน่ กลัวแน่ก็ไฟหาย เอ๊ะ! ไฟหายเป็นไง บอกที่นี่เขาจุดง่าย บอกที่นี่ไฟจุดง่ายดับง่าย ถ้าหากว่าอวดทะนงต่อไป ทีนี้ไฟจะไหม้ไปครึ่งตัว ไม่ไหม้หมดซะด้วย ไหม้ครึ่งตัว พูดไปพูดมาพระพุทธเจ้าท่านก็พูดดี ก็ชักเลื่อมใส เลื่อมใสว่าเชิญมาทำไม ตอนนั้นเลยบอกว่เห็นว่าเป็นคนดี เราต้องการความเป็นมิตร ไม่ต้องการความเป็นศัตรู ไอ้เมืองของท่านน่ะเราจะยึดเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่ทหารเลวคนเดียวก็ยึดได้ เราส่งพลทหารชั้นเลวไปคนเดียวท่านก็ต่อต้านไม่ได้ ท่านจะมาสู้อะไรกับใคร ท่านมีฤทธิ์อำนาจจริง ๆ แต่ว่ามีสภาพเหมือนพระราชาคนง่อย ดูทหารของเราทุกคน กองทัพของท่านทั้งทัพมีจตุรงคเสนา ทหารของเราคนเดียวเท่านั้นจะสังหารได้ จะเอากับใครล่ะ!
แหม..ท่านท้ารบ! ชักไม่กล้าสู้ คุยไปคุยมาคุยมาคุยไป นี่พระพุทธเจ้าท่านใช้ธรรมะ ตอนนี้ท่านเล่นธรรมะแล้ว เลื่อมใสถามว่าไอ้ฤทธิ์อำนาจอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะสามารถทำได้ไหม พระพุทธเจ้าท่านบอก นี่เราพร้อมจะให้อยู่แล้วที่ไปเชิญมานี่ ความจริงต้องการจะให้ฤทธิ์ให้อำนาจแบบนี้ ถามให้แน่นะ ท่านบอกแน่ แน่แล้วจะขอศึกษา บอกได้เลย แต่ว่าการศึกษานี่เราจะต้องแต่งตัวเหมือนกันนะ ท่านก็เป็นอันว่าตกลง ตกลงศึกษา พอตกลงแน่นอนปั๊บ! เมืองหายหมด..กลายเป็นป่า พระเจ้าธรรมาธิราชนี่ห่มจีวรเสียแล้ว
เอ๊ะ! นี่มันเป็นยังไงกันแน่! ท่านก็เลยบอก ถ้าจะศึกษาต้องแต่งตัวแบบนี้ ผลที่สุดท่านก็เลยบวช เอหิภิกขุไง ก็ให้การศึกษาจบเดียวเป็นอรหันต์ไปเลย ( หัวเราะ ) นี่ก็ทำได้แล้วแต่ว่าถ้าเทศน์มันยาว ถ้าเทศน์มันต้องไปรับอีตอนที่พระอินทร์ไปเป็นฑูตก็ฟัดกัน ฮากันไม่ไหวแล้ว นี่กลับมาขึ้นช้างโด่เด่ ตอนนี้สิอีตอนชมตลาด โอ้โฮ! ยังงี้ต้องแสดงหนัง ฮึ!..สวัสดี*
ที่มา - http://www.palungjit.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น