"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สละเป็น สละตาย เพื่อพระนิพพาน (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ)

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ

ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกชาวพุทธ วันนี้ขอให้ฟังอย่างถึงใจ การเทศนาว่าการเวลานี้ หลวงตาไม่ได้มีคำว่า โอ้อวด มดเท็จอะไรแก่ท่านทั้งหลาย การปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เป็นเวลา ๗๐ ปี ๗๑ ย่างเข้าแล้ว แต่ยังไม่เต็มปี เพียงออกพรรษาย่างมา ๗๑ พรรษาแล้ว และบวชมาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน นั่นละวันนั้นวันตัดสินกันกับการประพฤติละชั่วทำดีตั้งแต่บัดนั้น ศีลก็บริสุทธิ์มาตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งบัดนี้ สมาธิก็ก้าวเดินเรื่อยไป เอา เรียนหนังสือก็เรียนเพื่อจะแก้กิเลส เป็นวิชาแก้กิเลสเรื่อยมา เรียนพอสมความมุ่งหมายที่จะพอเป็นปากเป็นทาง แก้กิเลสได้แล้ว ก็นำมา ออกประพฤติปฏิบัติธรรม เข้าป่าเข้าเขาลำเนาไพร ไม่เยื่อใยเสียดายกับสิ่งใด ยิ่งกว่าธรรมอันเลิศเลอ ที่มุ่งหวังอยู่แล้วด้วยความเชื่อมั่นในธรรมทั้งหลายจากหลวงปู่มั่น ที่ท่านแสดงให้ฟังอย่างถึงใจๆ แล้วออกปฏิบัติกำจัดกิเลส

กิเลสนี้เป็นตัวโหดร้ายทารุณมาก เหนียวแน่นมั่นคง เฉลียวฉลาดมาก ลำพังเราๆ ท่านๆ ให้กิเลสกล่อมตลอดเวลา เพราะฉะนั้นตื่นขึ้นมา กิเลสจึงกล่อม ความโลภก็กล่อม ความโกรธก็กล่อม ราคะตัณหากล่อม มีตั้งแต่มหาภัยๆ กล่อมจิตใจของเรา ให้หลับเคลิบเคลิ้มไป สิ่งที่ได้มาจากมัน ก็คือความทุกข์ความทรมานจิตใจ สุดท้ายก็ตายไปด้วยความทุกข์ ความทรมานอย่างนี้เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด

ทีนี้เวลาได้บำเพ็ญธรรมเข้าไป สิ่งที่เคยเป็นภัยและไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้เห็นมันว่าเป็นภัย ค่อยกระจ่างแจ้งขึ้นมาจากการอบรมภาวนา ดังที่ได้ชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบเวลานี้ แล้วกระจ่างขึ้นมาภายในจิตใจ จนเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในตัวเอง บางทีถึงสะดุ้งก็มี เพราะอัศจรรย์ใจที่ได้บำเพ็ญกับธรรมทั้งหลาย ชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยได้มากน้อยเพียงใด จิตใจมีธรรมขึ้นภายในใจ ยิ่งมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง มีความอดความทน ความพากความเพียรมาด้วยกันๆ หมุนตัวไปเรื่อยๆ ก้าวเข้าสู่สมาธิแน่นหนามั่นคง เป็นอยู่ในหัวใจนี้ จากการปฏิบัติตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้ว ด้วยสวากขาตธรรมตรัสไม่ผิดว่างั้น

เราปฏิบัติไม่ให้ผิดตามคำของพระพุทธเจ้า ผลก็ไม่ผิด ได้มาเป็นลำดับลำดาเป็นขั้นเป็นภูมิ จนกระทั่งพูดเปิดอกเสียทีเดียว เปิดหัวอกเสียเลย ทีแรกบวชว่าอยากจะไปสวรรค์ ครั้นต่อมาอ่านไปๆ อยากไปพรหมโลก ครั้นต่อมาท่านพูดถึงเรื่องนิพพาน ไปสวรรค์ก็ไม่อยากไป พรหมโลกไม่อยากไป อยากไปนิพพานถ่ายเดียว ทีนี้เวลาปฏิบัติไปๆ ธรรมถึงขั้นใดภูมิใด ที่จะสามารถมองเห็น มันก็เห็นด้วยใจของตัวเอง สุดท้ายมันก็ไปจองเอาสวรรค์อย่างลึกๆ ลับๆ นะ โอ๊ นี่ ถ้าเราตายแล้วจะไปสวรรค์ จะไปสวรรค์ชั้นนั้นๆ จองเข้าไปเรื่อย เอ้า นี่มันจะไปพรหมโลกชั้นนั้น ชั้นนี้รู้อยู่ในใจ

นี่เห็นไหมท่านทั้งหลายการปฏิบัติ นี้มาโกหกท่านทั้งหลายหรือ ให้ฟังให้ดีนะ นี่เราสละเป็นสละตาย เอาผลแห่งการปฏิบัตินี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกัน อย่ากอดคัมภีร์อยู่เฉยๆ มันเป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ที่ไม่ได้ปฏิบัติ เรียนแล้วให้ปฏิบัติ นี่ก็เรียนแล้วออกปฏิบัติ เมื่อเวลามันแน่ใจเข้าไป สว่างไสวเข้าไป มันขโมยไปจองสวรรค์ จองสวรรค์ชั้นนั้นๆ จากนั้นขโมยเข้าไปจองพรหมโลกเรื่อยๆ แล้วละเอียดเข้าไปๆ พรหมโลกชั้นไหนๆ ไม่อยู่ๆ ที่นี่ไม่จองนะ จิตทะลุเรื่อย คว้าใส่นิพพานหวุดหวิดๆ โน่น

นี่เห็นไหม ความกล้าหาญของจิตใจที่จะหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว เพราะทุกข์นี้เคยได้รับความทรมานมาจากมัน กี่ภพกี่ชาติแล้ว คราวนี้ได้เห็นประจักษ์ว่า ทุกข์นี้เป็นทุกข์ประจำมากี่ภพกี่ชาติแล้ว เวลานี้เห็นตัวของมันประจักษ์ เกิดขึ้นจากใจ เป็นเครื่องหลอกของใจ คือกิเลสอยู่ในนั้น ตัวหลอกอยู่ในนั้น สร้างทุกข์อยู่ในนั้น เปิดกิเลสนี้ออกด้วยธรรมซึ่งเป็นของจริง เปิดออกเท่าไร ยิ่งเห็นของปลอมชัดเจน ธรรมเป็นของจริง ก็ยิ่งเปิดเผยขึ้นมาๆ แล้วชัดเจนขึ้นไปโดยการภาวนานี้ ละเอียดเข้าไปโดยลำดับลำดา นั่งอยู่เฉยๆ มันก็เห็น

ฟังซิท่านทั้งหลายพระพุทธเจ้าโกหกเหรอ สิ่งที่พระพุทธเจ้าว่า บาป ว่าบุญ ว่านรก สวรรค์ ผู้ภาวนาเวลาถึงขั้นมันจะเห็นแล้วปิดไม่อยู่นะ พวกเราตาบอดไปเที่ยวลบล้างอยู่หรือว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี มันจะจมนรกกันทั้งหมดนะ

จึงรีบกระตุกเอาไว้ อย่าพากันลงนรก อยากลงนรกให้ไปดูเรือนจำเสียก่อน เรือนจำนี้เป็นยังไง น่าอยู่ไหม ใครเข้ามาติดคุกติดตะราง เขาว่านักโทษกันทั้งนั้นๆ น่าอยู่ไหม เราอยากเป็นนักโทษไหม นี่ก็เหมือนกัน ไม่ว่านรกหลุมไหนๆ น่าอยู่ไหม หรือเราอยากเป็นสัตว์นรกเหรอถามตัวเอง นี่ละใครจะอยากไป ทีนี้จิตมันก็เห็นโทษในสิ่งเหล่านี้ เห็นคุณที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้เป็นลำดับลำดา ความพากเพียรแก่กล้าสามารถ ลืมวันลืมคืนไปเลย นอนไม่หลับเวลามันเร่ง คว้าใส่นิพพานนี้หวุดหวิดๆ ทีนี้ไม่จอง สวรรค์ก็ไม่จอง พรหมโลกไม่จอง จะเอานิพพานถ่ายเดียวเท่านั้น

(คัดลอกมาบางส่วน)
เทศน์อบรมฆราวาส
ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์ ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin