"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ปฏิบัติ 4 ข้อเพื่อไปพระนิพพาน คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง



ผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง

1. ระงับความพอใจในขันธ์ 5 เสีย คิดว่าร่างกาย
มันตายอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่ลืมความตาย เป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนารวมกัน

2. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ควรทำเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน
ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คือ ทรงอารมณ์อยู่ในศีล
ตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องทางใจ
ไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ให้ลืมตาทำงาน
คุยกับหมากับแมว หรือเจอะหน้าคนด่าคนนินทา
ศีลเราทรงตัวไม่หวั่นไหวใช้ได้
เป็นการตัดสังโยชน์ ข้อ 2 สีลัพตปรามาส

3. ตัดวิจิกิจฉา โดยการน้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย
ทั้ง 3 ประการ คือ ทรงพระกรรมฐาน 3 ให้เป็นฌาน
คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ให้ทรงตัว

4. ตัดสินใจทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานในชาตินี้
ไม่ต้องการเกิดเป็นคนรวยสวยแข็งแรง
ไม่ต้องการเกิดเป็นเทพ เทวดา พรหม
กำลังใจมุ่งพระนิพพานเป็นอุปสมานุสสติกรรมฐาน

การที่จะหลีกหนีบาปกรรมชั่วหรือนรกได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ทั้ง 4 ข้อนี้ หรือตัดสังโยชน์ 3 ประการได้ ท่านให้ชื่อว่าผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คือ พระโสดาบัน ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถถูกลงโทษได้แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะวนเวียนเฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ากำลังใจเต็มไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจเทวดาพรหมก็ไปนิพพาน

ที่มา http://www.palungjit.com/

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin