"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

พระธาตุขององค์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

พระธาตุหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

พระธาตุของหลวงตาชุดนี้ ผู้เขียนได้ติดตามถ่ายภาพหลังจากหลวงตาละขันธ์(มรณภาพ)แล้ว โดยไม่คาดคิดว่าพระธาตุของท่านจะมีลักษณะหลากหลายโดยเกิดได้จากส่วนต่าง ๆ ของธาตุขันธ์(ร่างกาย)ได้หลายประเภท เห็นว่าน่าสนใจมาก จึงได้นำมาลงให้ชม

น้ำบ้วนปากของหลวงตามหาบัว

สังเกตด้วยสายตาไม่สามารถเห็นอะไรนอกจากเศษอาหารเล็ก ๆ ที่จมอยู่ในน้ำ แต่เมื่อใช้กล้องติดเลนส์ขยายพิเศษ พบว่ามีเศษอาหารและวัตถุทรงกลมเล็ก ๆ หลาย ๆ ชิ้นอยู่ในน้ำ และที่ผิวน้ำพบวัตถุสีใสลอยอยู่เป็นระยะ

คำหมากของหลวงตามหาบัว

บริเวณที่เป็นเนื้อหมากเกิดผลึกสีขาวใส ขาวขุ่น ส่วนใหญ่ มีสีเหลือง สีฟ้าใส สีเขียวใสประปราย ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า เจ้าของจึงไม่ทราบจนกระทั่งได้ใช้กล้องที่มีเลนส์แบบพิเศษถ่ายออกมา จึงได้เห็นพระธาตุขนาดเล็กเกิดบนชานหมากของท่าน ส่วนน้ำหมากได้เปลี่ยนสภาพไปเป็นพระธาตุทรงกลมสีแดงเข้มที่อยู่บนพื้นผะอบ


พระโลหิตธาตุของหลวงตามหาบัว ถ่ายภาพขยาย

พระธาตุข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว

พระธาตุจากข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว สังเกตุดูด้วยตาเห็นว่าไม่เน่าเปื่อย เมื่อถ่ายภาพโดยใช้เลนส์ขยายจะมีลักษณะเป็นประกายเล็ก ๆ ระยิบระยับดังภาพ

พระธาตุจากอัฐิธาตุ(กระดูก)ของหลวงตามหาบัว ถ้าดูด้วยตาจะไม่เห็นความเป็นประกายจนกระทั่งถ้าได้รับแสงจากแดดหรือไฟฉาย ก็จะเห็นความเป็นประกายระยิบระยับ  จากภาพได้ถ่ายโดยใช้กล้องกับเลนส์มาโคร(เลนส์ขยาย) เพื่อให้ได้เห็นประกายแสงชัดเจนขึ้น ซึ่งจากที่พบเห็น อัฐิทุกชิ้นจะมีประกายแต่บางชิ้นมีมากน้อยแตกต่างกันไป

พระธาตุจากอัฐิเถ้าอังคารหลวงตามหาบัว พระธาตุชุดนี้ผู้เขียนดูด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นความสวยงามชัดเจนนักเช่นกัน เนื่องจากพระธาตุมีขนาดเล็ก เห็นความเป็นมันเงากับแสงประกายสีทอง แต่เมื่อถ่ายโดยใช้กล้องกับเลนส์ขยายจะพบว่ามีหลายรูปพรรณสันฐานที่สวยงามชัดเจนขึ้น โดยด้านล่างมีพระธาตุที่มีรูปพรรณส้ณฐานที่แปลกคือมีสีคล้ายทองคำ

เมื่อผู้เขียนใช้เลนส์ขยายพระธาตุดังกล่าวก็พบว่ามีรูปร่างคล้ายพระธาตุทั่วไปแต่ผิวพรรณวรรณะมีลักษณะคล้ายทองคำ  ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเพราะไม่เคยพบเห็นจากที่ใด จึงได้ไปค้นคว้าพระธาตุของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ  แต่ก็ไม่พบภาพพระธาตุเป็นเหมือนทองคำลักษณะเช่นเดียวกับหลวงตานี้  ต่อมาผู้เขียนได้ร่วมจัดทำปฏิทินพระธาตุซึ่งต้องคัดกัณฑ์เทศน์ของหลวงตามาลง และได้พบในกัณฑ์เทศน์ที่กล่าวถึงพระธาตุสีทองจากเทศน์ของหลวงตา ท่านได้กล่าวไว้ในเทศน์เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๘ เรื่อง "เข้าสมาธิภาวนาระงับขันธ์"

"พระที่เพชรน้ำหนึ่งสำเร็จมาจากภาคเหนือน้อยเมื่อไร หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่มั่น ออกจากภาคเหนือทั้งนั้นนะ เพราะป่าเขาลำเนาไพรเป็นที่สะดวกสบายส่งเสริมได้เป็นอย่างดี นอกนั้นจะเป็นองค์ไหนบ้าง ที่ทราบชัด ๆ ก็คือหลวงปู่ตื้อ นี่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นที่ว่าเหล่านี้ หลวงปู่ตื้อนี้อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ โอ๋ย เหลืองอร่ามคล้ายกับทองคำนะ เราไปดูเอง

นั่นละพระท่านผู้หาอรรถหาธรรม ท่านจะไปหาที่เหมาะสม สถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญธรรมก็คือในป่าในเขาที่สงบงบเงียบ นั่นเป็นที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรม หลวงปู่ฝั้นนี้นุ่มนวล เหมือนช้างเดินลงทุ่งนา ท่านอาจารย์ฝั้นกิริยาอาการของท่านนุ่มนวล สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ไปอีกแบบหนึ่งที่ไม่มีใครเหมือน"

หลวงตาท่านพูดถึงพระธาตุของครูบาอาจารย์องค์ต่าง ๆ แล้วเน้นลงมาถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมอันเป็นที่เกิดพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งตรงกับในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่ภิกษุในการปฏิบัติภาวนาให้พิจารณา ขน ผม เล็บฟัน หนัง และให้พระอุปัชฌาย์บอกสอนแก่ภิกษุใหม่ดังนี้ "นั้นป่าเขา นั้นโคนไม้ นั้นเรือนว่าง อันเป็นที่สงบสงัด จงบำเพ็ญอยู่เช่นนั้นจนตลอดชีวิตเทอญ"

พระธาตุหลวงตา มีพระธาตุเสด็จมาเพิ่ม (สีขาวและสีเขียวขนาดเล็ก)

พระธาตุจากเมรุหลวงตามหาบัว เป็นส่วนที่ลูกศิษย์หลวงตาเก็บได้และนำมาบูชาและได้เสด็จเพิ่ม

พระธาตุจากเมรุหลวงตามหาบัว
พระธาตุจากเมรุหลวงตามหาบัวอีกลักษณะ มีสีขาวขุ่นและขาวใส หลังจากเก็บมาบูชาก็เสด็จเพิ่มอีก
ทันตธาตุ(ฟัน)หลวงตามหาบัว เป็นฟันซึ่ที่หลุดออกระหว่างท่านพักรักษาตัวอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดและได้มอบให้พระเก็บไว้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมันเงาเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังภาพ


พระธาตุเกิดจากชานหมากหลวงตามหาบัว ส่วนของชานหมากหากดูด้วยตาเปล่าจะมีขนาดเล็กว่านี้ เห็นเป็นเศษหมากและส่วนที่มีสีขาว เป็นประกายเมื่อโดนแสงไฟ น้ำหมากสีแดงได้หายไปกลายไปเป็นองค์กลมสีแดงชมพู 

ในส่วนขอชานหมากหลวงตา เมื่อใช้เลนส์กำลังขยายสูงถ่าย ปรากฎว่ามีผลึกสีขาวใสเล็ก ๆ สีเขียวอ่อน ๆ สีแดง สีเหลือง ปะปนกันอยู่จำนวนมาก

อีกภาพ พบว่ามีพระธาตุองค์กลมใสอยู่ทางด้านล่างซ้ายของภาพ (ขณะถ่ายไม่เห็นจึงไม่ได้โฟกัสไปที่ตำแหน่งน้ัน)

พระธาตุเกิดบนผ้าจีวรของหลวงตามหาบัว ติดบนเนื้อผ้า

พระบุพโพ-โลหิตของหลวงตา(น้ำเหลือง-เลือด) พระธาตุนี้มาจากก้อนสำลีที่ทำแผลหลวงตา ซึ่งมีคราบน้ำเหลืองและเลือดติดอยู่  ซึ่งทางหมอที่ทำแผลถวายหลวงตาปกติก็จะทิ้งลงถุงดำ แต่มีผู้ขอนำไปเก็บไว้ ต่อมาได้แห้งและเกิดเป็นประกายสีเหลืองสวยงาม จึงได้แกะออกจากสำลีพบมีสัณฐานกลมสีเหลืองซึ่งคาดว่ามาจากน้ำเหลืองขององค์ท่าน ส่วนผลึกสีแดงชมพูคาดว่ามาจากน้ำเลือดที่แต่เดิมติดอยู่กับสำลี

พระบุพโพ-โลหิตของหลวงตา ชุดเดิม แต่ถ่ายโดยใช้ไฟแฟลช จะเห็นความโปร่งแสงของพระธาตุ

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) เป็นภาพพระธาตุที่ผู้เขียนได้มาจากหนังสือพิมพ์ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากภาพมิได้บ่งอบอกลักษณะของพระธาตุแต่อย่างใด  แต่ในเนื้อข่าวได้ลงไว้ว่าเป็นพระธาตุซึ่งทำให้ผู้เขียนสงสัยและไม่แน่ใจ

ต่อมา ผู้เขียนได้ไปตามสืบหาผู้เก็บรักษา และได้พบจึงขออนุญาตถ่ายรูป
(กว่าจะตามพบและได้ถ่ายก็ในต้นเดือนสิงหาคม 2554 )

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) นี้ เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นความแปลกพิเศษแต่อย่างใด แต่เมื่อใช้แสงไฟฉายแรงสูงส่อง ก็จะเห็นประกายเล็ก ๆ ระยิบระยับมากมาย ดูสวยงามมาก

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง)ของหลวงตามหาบัว ต่อมาผู้เขียนลองใช้เลนส์พิเศษถ่ายขยายดูเนื้อพระธาตุนี้ ก็พบว่าเป็นลักษณะคล้ายไข่ปลาขนาดเล็กมาก มีทั้งสีเหลืองอ่อน เหลืองเข้ม และสีขาว มากมาย  ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

ภาพขยาย

พระบุพโพธาตุ(น้ำเหลือง) จากผะอบเดียวกัน แต่มีสีเหลืองเข้ม

พระโลหิตธาตุของหลวงตามหาบัว

อัฐิหลวงตามหาบัวแปรเป็นพระธาตุ ที่ผ่านมาพระธาตุที่ผู้เขียนได้นมัสการก็จะมีการแปรลักษณะเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้วโดยไม่เหลือร่องรอยของชิ้นส่วนเดิมของร่างกาย(เช่นกระดูก) แต่พระธาตุองค์นี้เป็นลักษณะที่ผู้เขียนต้องการพบเห็นมากที่สุด เนื่องจากส่วนหนึ่งยังเป็นอัฐิ(กระดูก) อีกส่วนใสเป็นพระธาตุสีเขียวมรกตมีสัณฐานกลมสวยงามมาก ซึ่งจากที่พิจารณาดูอัฐิชิ้นนี้ไม่ใหญ่นัก หากมองด้วยตาเปล่าในที่แสงสว่างไม่มากก็จะมองไม่เห็นความโปร่งแสงของสีมรกตชัดเจน ลักษณะทั่วไปก็เหมือนอัฐิธรรมดา แต่เมื่อมองผ่านแสงไฟฉายหรือผ่านไฟแฟลชจะเห็นตรงส่วนที่โค้งกลมมีลักษณะใสเหมือนลูกแก้วสีมรกตสวยงามมาก ซึ่งทำให้ผู้เขียนหายสงสัยในเรื่องพระธาตุโดยสิ้นเชิงว่าเกิดมาจากอัฐิ (กระดูก)ได้จริง ๆ 

เกศาหลวงตามหาบัว(ผม) มีบางส่วนที่มีลักษณะคล้ายผลึกเล็ก ๆ ใส ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของพระธาตุ เห็นได้ด้วยตาเปล่า

ภาพขยายพระธาตุจากเกศาหลวงตามหาบัว มีลักษณะใส รวมทั้งเส้นเกศาด้วย

พระธาตุจากเกศาหลวงตามหาบัว มีลักษณะสวยงามมาก

ยังมีภาพพระธาตุหลวงตาอีกมากมาย แต่จะขออนุญาตนำมาลงในวันหน้า

ขอบคุณทุกท่านที่รับชม


ที่มา www.doisaengdham.org

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin