"การให้ทานในแบบของพระพุทธศาสนา"
สามารถอ่านได้ที่ด้านล่างเว็บนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

ผู้ปราถนาพุทธภูมิมีวิริยาธิกะพิเศษไหม ?



ถาม : อ่านหนังสือเจอ เลยทำให้รู้ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเป็นปัญญาธิกะเยอะ ก็เลยมีปัญญา ?

ตอบ : แล้วแต่วาสนาเดิมว่าใครทำมา ในเมื่อเขาทำมาทางด้านปัญญา ปัญญาก็เกิด ถ้าประเภทชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเองก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ

ถาม : วิริยาธิกะจะย้ายมาเป็นปัญญาธิกะได้ไหมครับ ?

ตอบ : เดินคนละทางแล้ว อยากจะย้ายใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ ที่คุณว่ามานี่มันสันดานมนุษย์ ไม่ใช่สันดานนักปฏิบัติธรรม หนอยแน่..จะโอนหน่วยกิตเสียแล้ว เขาให้โอนหน่วยกิตได้อย่างเดียว คือจากพุทธภูมิไปเป็นสาวก บุคคลผู้ปรารถนาพระโพธิญาณเขาไม่กลัวเหนื่อยกัน ถ้ากลัวเหนื่อยเขาไม่ปรารถนากันหรอก

ถาม : มีวิริยาธิกะพิเศษไหมครับ ?

ตอบ : นอกตำราเกินไป

ถาม : เคยได้ยินไหมครับ ?

ตอบ : ไม่เคยได้ยิน วิริยาธิกะพิเศษ ถ้าจะมีก็ พวกโง่เป็นพิเศษ เท่านั้นแหละ..! ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปก็แย่แล้ว ยังจะมีวิริยาธิกะพิเศษอีก

สำหรับ สมเด็จองค์ปฐม ท่าน นั้นนอกเหตุเหนือผล ไม่ได้อยู่ใน ๓ ประเภทนี้ เพราะเริ่มหลักสูตรด้วยพระองค์ท่านเอง ในเมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยพระองค์ท่านเองจึงยังไม่จัดเป็นหลักสูตร แรกๆ ก็ยังไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร แต่อยากทำ.. ขอยืนยันว่ามีแบบนี้องค์เดียว ที่เหลือถัดจากนั้นใครจะแหกคอกขนาดไหนก็แหกไปเถอะ รับประกันว่าไม่เกิน ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เพราะมีหลักสูตรแล้ว


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

ที่มา board.palungjit.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา

ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ

เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก

แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้

ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน

ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก

ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ

ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน

การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ

ที่มา Dungtrin