
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
จิตเป็นของแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์
การฝึกหัดเบื้องต้นก็ต้องมียากเป็นธรรมดา แม้ว่าท่านผู้ตั้งใจทำจริง ๆ
มีหน้าที่แก้ไขกิเลสโดยถ่ายเดียว เช่นกับนักบวช เป็นต้น
การฝึกฝนอบรมเบื้องต้นรู้สึกลำบาก บางทีถึงกับจะให้เกิดความท้อใจ
ให้สงสัยตัวเองว่าจะไปรอดหรือไม่รอด พร้อมกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
ซึ่งเป็นข้าศึกต่อนิสัยของปุถุชนจะพึงปรารถนา...

เหมือนเด็กในบ้านเรานั่น เด็กในบ้านมันซน
จะทำยังไงมันไม่หยุดมันไม่นิ่งจะทำยังไง
เอาลูกโป่งมาให้มันเล่นเสีย
มันก็เพลินกับลูกโป่งของมันสบาย
มันก็ไม่ร้อง มันก็ไม่วุ่นวายเพราะอะไร
เอาเครื่องเล่นมาให้มันๆ ก็เพลินกับลูกโป่งนั่นแหละ
จิตนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมันวุ่นวายวอกแวกอยู่
หาอารมณ์ให้มันเล่นเอาอะไรบ้าง ..
พุทธานุสติบ้าง ธรรมานะสติบ้าง สังฆานุสติบ้าง
สีลานุสติบ้าง จาคานุสติบ้าง เอามาณานุสติบ้าง
ให้มันพิจารณาความตายบ้าง ..
ความผิด ในความถูก...

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
พระที่ท่านชอบอยู่ป่าอยู่เขาอยู่ถ้ำและเงื้อมผา รู้สึกมีเรื่องสะดุดใจให้ท่านผู้อ่านได้คิดอยู่มากกว่าที่พักอยู่ในที่ธรรมดา ดังท่านอาจารย์องค์ที่กำลังนำลงอยู่เวลานี้ แม้จะถวายนามท่านว่า “นักเผชิญ” ก็ไม่น่าจะผิดและเสียความเคารพ เพราะการเผชิญก็เพื่อบุกเบิกหาธรรมของจริง การถวายนามก็อนุวัติไปตามปฏิปทาของท่านที่หนักไปในทางเป็นนักต่อสู้หรือเผชิญ โดยไม่ลดละล่าถอยให้เหตุการณ์นั้นๆ หัวเราะเยาะได้ การเป็นนักต่อสู้ในขณะที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์นี้...

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ
ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกชาวพุทธ วันนี้ขอให้ฟังอย่างถึงใจ การเทศนาว่าการเวลานี้ หลวงตาไม่ได้มีคำว่า โอ้อวด มดเท็จอะไรแก่ท่านทั้งหลาย การปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เป็นเวลา ๗๐ ปี ๗๑ ย่างเข้าแล้ว แต่ยังไม่เต็มปี เพียงออกพรรษาย่างมา ๗๑ พรรษาแล้ว และบวชมาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน นั่นละวันนั้นวันตัดสินกันกับการประพฤติละชั่วทำดีตั้งแต่บัดนั้น ศีลก็บริสุทธิ์มาตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งบัดนี้ สมาธิก็ก้าวเดินเรื่อยไป...

พวกลาพุทธภูมินี่ พวกพุทธภูมิใกล้เต็มนี่ลาอีกเยอะ วันนั้นพบกันแล้ว
เลยถามท่านว่า
"พระพุทธศาสนาอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี มันจะอยู่กันได้ยังไง? ก็ตั้งระยะไว้ยาว"
ท่านบอกว่า "ที่ตั้งระยะไว้ยาวนี่เพราะพุทธภูมิยังต้องลาอีกหลายช่วง
เป็นช่วง ๆ "
แต่พวกลานี่พวกเต็มทั้งนั้นนะ พวกลานี่หมายความว่าชาตินี้เขาเต็ม
แต่ว่ามันเหลืออีกนิดเดียว แต่นี่เราตัดเฉย ๆ จะไม่เอาล่ะ
ก็เพราะว่าถ้าพวกไม่ใกล้เต็ม ไม่ใกล้เต็มนี่ไม่ไหว ดันไม่ไหว...

ถาม : พระเล่นหวยใต้ดินผิดไหมครับ ?
ตอบ :
ถ้าหากว่าเล่นตรงก็ไม่ผิด ถ้าเล่นไม่ตรงก็ผิด อย่างเช่นงวดที่ผ่านมา
ถ้าเล่น ๕๐ หรือ ๙๐ ก็ไม่ผิด..(หัวเราะ)..ถามมาพระก็ตอบตรงไปตรงมา
ถ้าพระเล่นหวยเขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยได้ ปรับกระทำสิ่งประหนึ่งฆราวาสได้ ปรับข้ออเนสนา หาเลี้ยงชีพในทางมิชอบได้ เพราะฉะนั้น..ศีลขาดไปแล้ว
อาตมาเองโดนโยมเขาชวนซื้อหวยออกจะบ่อยไป ก็บอกโยมว่าซื้อไม่ได้หรอก
เจ้าอาวาสวัดนี้โหดมาก ถ้าหากว่าพระเล่นหวยนี่ไล่ออกจากวัดเลย...

วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นวันที่หลวงตามหาบัวบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ตรงกับวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๕ ทุ่มตรง
ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร ซึ่งปีนี้ครบ ๖๓ ปีพอดีครับ
พระธรรมเทศนาโดยหลวงตามหาบัว ท่านเล่าถึงวินาทีที่ท่านบรรลุธรรมครับ
... “..บทสุดท้ายที่จะคว่ำวัฏจิตวัฏจักร
ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงการเกิดการตายทับถมกันนี้
มายุติในวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี
หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปฟ้าดินถล่มที่นั่นละ
ฟ้าดินถล่มนี้เราไม่เคยเห็นนะ...

พระอาจารย์ กล่าวว่า เรื่องของการไปอยู่วัด ปฏิบัติที่วัด อย่าไปตั้งความหวังไว้สูงว่าทุกอย่างต้องดี เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ก็คือ ไม่ว่าสถานที่จะดีแค่ไหน ครูบาอาจารย์ดีแค่ไหน แต่คนที่อยู่ในที่นั่นก็ยังเป็น “คน” ในเมื่อยังเป็น “คน” อยู่ โอกาสที่ “คน” กับ “คน”
จะกระทบกระทั่งกันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปตั้งความหวังเอาไว้สูง
คิดว่าทุกคนจะต้องดีกับเราหมดอย่างกับเป็นพระอรหันต์ ก็ฝันไปเถอะ..! ประการที่ ๒ ก็คือ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติจริง...

พระอาจารย์ กล่าวว่า พระ
โพธิสัตว์เป็นผู้มุ่งขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร
สิ่งที่ท่านทำเป็นการทำเพื่อคนอื่น ในเมื่อทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะคนจำนวนมาก
ก็เลยต้องศึกษาอะไรให้รู้มากที่สุด เพื่อที่จะได้สอนได้ทุกคน
ในเมื่อเป็นดังนั้น ความรู้แต่ละขั้นกว่าจะได้ต้องย้ำแล้วย้ำอีก
ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนอื่นทำ ๑ - ๓ ครั้งอาจจะผ่านเลย
ท่านต้องว่าเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ฟังๆ ดูแล้วแปลกๆ
พระโพธิสัตว์มักจะมีปัญญาฉลาดมาก แต่ตอนทำอะไรสักชิ้นหนึ่ง
เหมือนกับทดลองแล้วทดลองอีก...

ถาม : เป็นอะไรไม่ทราบค่ะ ชอบปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อก่อนไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็น ? ตอบ : เรื่องปกติ..คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต เพราะถ้าเรายังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ เราก็ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าคนไม่ได้เดินใกล้ประตู เขาไม่กันให้เสียเวลา เพราะฉะนั้น..เขารู้ว่าเราใกล้ความดี เขาถึงกันเรา ให้เราตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระไปเรื่อยๆ
ถ้าเราไม่หวั่นไหว รู้ทัน เราขอขมาพระไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ
เขารู้ว่ากันเราไม่อยู่ เขาก็ปล่อย เขาแค่กวนน้ำให้ขุ่น...

พบเทวดาใหม่
จาก หนังสือ กฎของกรรม เล่ม ๓
เป็นการบันทึกความจำ ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดีก็ไม่เป็นไร
พอฟังรู้เรื่องก็ใช้ได้ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นเหนื่อยมาก
เพราะตอนเช้าต้องบันทึกเสียง ต้องทำธนาณัติด้วย
ต้องบันทึกเสียด้วยบันทึกเสียงไป ๑ ชั่วโมงก็เหนื่อยเพราะร่างกายไม่ดี
แต่ว่านอนพักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็มีความรู้สึกว่า
งานที่จะต้องทำมีอยู่หรือไม่ หลังจากนั้น เมื่อคิดถึงเรื่องงานเสร็จ
ก็เริ่มจับอานาปานุสติกรรมฐาน ตั้งอารมณ์ให้สบาย
พอจับอานาปานุสติพอหายใจเข้า...

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระจุฬามณีชั้นดาวดึงส์ว่า
" คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายที่สุด สั้นที่สุดพระพุทธเจ้าข้า ? "
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสว่า
เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย
ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูกหลาน เหลนก็ไม่มี
เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด
เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่
เมื่อสิ้นภาระ คือ ร่างกายพังแล้ว เราจะไปนิพพาน
เมื่อความป่วยไข้ปรากฎ...

ถาม : ตอนพระพุทธเจ้าประสูติเดิน ๗ ก้าว หมายถึงเดินทางไป ๗ แคว้น ไม่ได้ก้าวจริงๆ
ตอบ: เดินจริงๆ จ้ะ เดินแบบเกรงใจมากด้วย ยังดีที่ไม่ย่ำต๊อกไปทั่วชมพูทวีปก่อน คนเขาทำไม่ได้ ก็เลยพยายามดึงพระพุทธเจ้าลงมาให้เป็นคนธรรมดาทั่วไป พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมาต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ความสามารถของท่านเกินกว่าที่เราจะคิดถึง อรรถกถาท่านอธิบายไว้ว่า
- สัตว์บางจำพวก ขณะจุติไม่รู้ตัว ขณะเคลื่อนไปไม่รู้ตัว ขณะลงสู่ครรภ์ไม่รู้ตัว ขณะอยู่ในครรภ์ไม่รู้ตัว...

ถาม : ศีลข้อสามในศีลแปด เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ห่างผู้หญิง ๓ วาได้จะดี ใกล้กว่านั้นไม่ได้ ใกล้กว่านั้นเดี๋ยวเผลอแตะ..! จริงๆ แล้ว อพฺรหฺมจริยา หมายถึงการที่เราทรงอารมณ์ภาวนาอยู่โดยที่ไม่ส่งใจออกนอกเลย เขาจึงเรียกว่า จริยาอย่างพรหม เพราะพรหมท่านทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อทรงฌานอยู่ตลอดเวลา กามราคะก็เกิดไม่ได้ เขาถึงได้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจจะเอาอพฺรหฺมจริยาจริงๆ ก็แปลว่าต้องไม่หลุดจากฌานเลย
ถาม : แล้วที่เขาไปถืออุโบสถศีล...

การวางอารมณ์ใจในการตัดสักกายทิฎฐิ
ถาม : ทีนี้เวลาภาวนาปกติจะใช้ว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา?
ตอบ : จ้ะ ดีเลยจ้ะ คราวนี้มันไม่ใช่ภาวนาเฉย ๆ มันต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว จิตยอมรับจริง ๆ โยมลองถามตัวเองว่าร่างกายนี้ใช่ของโยมมั้ย? แล้วให้ใจมันตอบออกมาจริง ๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า ตอบ เพราะรู้ว่า ต้องตอบว่าไม่ใช่ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นคำตอบที่ออกจากใจจริง ๆ ว่าไม่ใช่ของของเรา เราไม่สามารถทำให้จิตใจมันยอมรับได้
ก็ดูว่าร่างกายนี่มันประกอบจากอะไร...

ประโยชน์ของการรักษากำลังใจให้ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง
พระอาจารย์ กล่าวว่า "เรื่องของกำลังใจ ถ้าเรารักษาให้ทรงตัวต่อเนื่องได้นาน ๆ ความผ่องใสจะมีมาก อะไรเกิดขึ้นจะรู้ล่วงหน้าก่อน แม้จะรู้ล่วงหน้าไม่นาน รู้ล่วงหน้าสักพักก็ยังดี อย่างน้อยๆ ก็พอที่จะป้องกันอันตรายได้
เดือนที่แล้วขากลับไปจากที่นี่ ทำเอาโชเฟอร์เครียดแทบตาย เพราะอาตมาบอกเขาว่าอย่าเบรกรถกะทันหัน จะโดนรถชนท้าย เขาก็ระวัง อาตมาบอกเขาว่าไม่ต้องระวังหรอก รถที่จะชนท้ายเป็นรถมิตซูบิชิ ปรากฏว่ามีรถมิตซูบิชิวิ่งตามอยู่เป็นชั่วโมงเลย...

หลงตัวเอง !
พระอาจารย์ กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริงๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้งๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง
ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้า ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือ การหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง...

ท่องสวรรค์
อาตมามุมานะฝึกกรรมฐานตามแบบของหลวงพ่อ ก็ด้วยความอยากมีฤทธิ์มีเดช อยากไปเที่ยว นรก สวรรค์ คร่ำเคร่งกับการฝึกแบบเอาเป็นเอาตาย ดีที่ทางบ้านศรัทธาหลวงพ่อทุกคน ไม่งั้นคงจับอาตมาส่งโรงพยาบาลไปแล้ว....
เย็นวันหนึ่งของปลายปี ๒๕๒๑ พี่ชาย (คุณ ประสิทธิ์ เพชรชื่นสกุล) ชวนอาตมาไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) โดยบอกว่าใครฝึกวิชานี้ได้สามารถไปนรก สวรรค์ ได้เลย...
อาตมาแทบเหาะไปด้วยความดีใจ โธ่...เสียเวลาฝึกแทบล้มประดาตายก็เพราะเหตุนี้...

ถาม : อ่านหนังสือเจอ เลยทำให้รู้ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเป็นปัญญาธิกะเยอะ ก็เลยมีปัญญา ? ตอบ : แล้วแต่วาสนาเดิมว่าใครทำมา ในเมื่อเขาทำมาทางด้านปัญญา ปัญญาก็เกิด ถ้าประเภทชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเองก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ ถาม : วิริยาธิกะจะย้ายมาเป็นปัญญาธิกะได้ไหมครับ ? ตอบ :
เดินคนละทางแล้ว อยากจะย้ายใหม่ก็เริ่มต้นใหม่
ที่คุณว่ามานี่มันสันดานมนุษย์ ไม่ใช่สันดานนักปฏิบัติธรรม
หนอยแน่..จะโอนหน่วยกิตเสียแล้ว เขาให้โอนหน่วยกิตได้อย่างเดียว คือจากพุทธภูมิไปเป็นสาวก...

ถาม : พระสุกขวิปัสสโกต้องละหมดหรือครับ ?
ตอบ : ทุกคนต้องละหมด ถ้ายังมีใจยินดีอยู่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ แต่คำว่า "สุกขวิปัสสโก" ไม่
ได้แปลว่าคุณจะไม่ได้ฌาน เพียงแต่ว่าเป็นฌานที่ท่านทรงโดยไม่รู้ตัว
เกิดจากการพิจารณาธรรมแล้วสมาธิทรงตัวขึ้น ถ้าทรงฌานไม่ได้
จะเป็นไม่ได้แม้กระทั่งพระโสดาบัน..!
ในเมื่อเราไม่ติดรูปแล้ว อรูปเราไม่ได้ปฏิบัติจะไปติดได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้ติดก็แปลว่าตัดได้
คนมักจะเข้าใจว่า สุกขวิปัสสโกไม่มีฌานไม่มีสมาบัติ...

ถาม : ในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา หน้าตาเราจะไม่เหมือนกันในแต่ละช่วง มีอะไรมาแทรกมาสิงหรือเปล่าคะ ? ตอบ :
ไม่ใช่หรอก..อยู่ที่อารมณ์เรา อยากจะให้หน้าเหมือนกันทั้งวัน
ต้องรักษาอารมณ์ใจให้มั่นคง ถ้าอารมณ์ไม่มั่นคงก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามรัก โลภ
โกรธ หลง ลองไปภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว
จะมีอยู่ช่วงใหญ่ๆ ของนักปฏิบัติภาวนา
ที่อารมณ์ใจทรงตัวแล้วไม่อยากยุ่งกับใคร มีความสุขอยู่กับการภาวนา
จะเป็นใบหน้าไร้อารมณ์ พอถึงเวลาก็คนอื่นจะเบื่อขี้หน้าไปเอง...
การให้ทานในแบบของพุทธศาสนา
ในสเตตัสก่อนผมเขียนไว้ไม่ครบ
อาจทำให้หลายท่านเข้าใจผิดบางประเด็น
จึงขอแจกแจงให้ละเอียดขึ้นครับ
เมื่อพูดถึง ‘การให้ทานในแบบของพุทธ’
ต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายถึงการถวายสังฆทาน
แต่มุ่งเอา ‘จิตคิดให้ เพื่อสละความตระหนี่’ เป็นหลัก
แต่เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์แก่ผู้ให้และผู้รับ
นับเอาความสุข ความเจริญ
ที่ผลิดอกออกผลในปัจจุบันกาลและอนาคตกาล
พระพุทธเจ้าก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้ดังนี้
ทานอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรชนะได้ คือธรรมทาน
(สัพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ)
ธรรมทานคือการให้ความรู้ ให้มุมมอง ให้แรงบันดาลใจ
ที่จะนำไปสู่การมีที่พึ่งให้ตนเอง ทั้งในการใช้ชีวิตนี้
และการเวียนว่ายตายเกิดต่อๆไปในชีวิตหน้า
ยกเอาสิ่งที่จะทำให้เห็นชัดว่าทำไมธรรมทานจึงเป็นที่หนึ่ง
ต้องดูจากที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การตอบแทนพ่อแม่อันสมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านให้ชีวิตเรา
คือการทำให้พ่อแม่ (ซึ่งยังไม่เข้าใจธรรม)
ได้เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นในธรรม มีใจตั้งมั่นในทานและศีล
ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าเป็นการให้ธรรมเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะช่วยผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ปลอดภัยในการเดินทางไกล
ต่อให้ลูกกตัญญู แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าให้อึฉี่รดหัวเราตลอดอายุขัย
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนได้เท่าการให้ธรรมเป็นทานแก่พวกท่าน
ทานอันดับสอง คือการรักษาศีล
เพราะเมื่อรักษาศีลแล้ว
สัตว์ที่มีสิทธิ์ได้รับความเดือดร้อนจากการเบียดเบียนของเรา
หรือคู่เวรที่จำต้องถูกเราประหัตประหารหรือทำร้ายกัน
ก็จะได้รับการปลดปล่อยจากเขตอันตราย
หรือได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากศีลของเรา
แม้เขาทำให้เราผูกใจเจ็บ ก็ได้รับอภัยทานจากเรา
ไม่ต้องตีกันไปตีกันให้เจ็บช้ำน้ำใจกันยืดเยื้อต่อไปอีก
ทานอันดับสาม คือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมอง
เมื่อให้สิ่งที่เรามีเป็นทาน ย่อมได้ชื่อว่าสละความหวงแหน
อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
นับเป็นต้นทางหลุดพ้นจากการยึดติดผิดๆ
ประเด็นคือการให้ทรัพย์ ให้แรงงาน ให้กำลังสมองนั้น
ถ้าจะดูว่าให้กับใครจัดว่าให้ผลใหญ่ที่สุด
ก็ต้องมองว่า ‘ผู้มีจิตบริสุทธิ์’ หรือ ‘ผู้พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์’
คือผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุด
ลองเทียบดูระหว่างช่วยพระกับช่วยโจร
อย่างไหนทำให้ปลื้มมากกว่ากัน
การทำทานกับสมณะในพุทธศาสนานั้น ถือว่าเลิศสุด
(ย้ำว่าในมุมมองของพุทธเรา)
ดังเช่นที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้หลายแห่งว่า
เป็นเหตุให้มีจิตผูกพันกับพุทธศาสนา
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
ทั้งนี้ทั้งนั้น การช่วยทุกอย่าง มีผลดีหมด
อย่างเช่น ช่วยกลับใจโจร
ก็ได้ผลเป็นความไม่เดือดร้อนของเราเองในปัจจุบัน
และในกาลข้างหน้าเมื่อเราหลงผิด
ก็ย่อมมีผู้มาช่วยเปลี่ยนความคิดให้เห็นถูกเห็นชอบได้ง่าย เป็นต้น ครับ
ที่มา Dungtrin